พาราสาวะถี
ไม่ต้องรอลุ้นถึงวันนี้ว่า มาตรการของรัฐบาลจากการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นจะออกมาแบบไหน เพราะ วิษณุ เครืองาม ได้ตั้งโต๊ะแถลงไปแล้วเมื่อเย็นวานนี้ โดยเป็นข้อกำหนดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่ 1 ซึ่งยังไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว ประชาชนยังคงสามารถเดินทางใช้ชีวิตได้เกือบปกติ แต่มีมาตรการพึงปฏิบัติสำหรับคน 3 ประเภทคือ ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป คนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลงไป โดยขอให้อยู่บ้านเป็นหลักยกเว้นมีเหตุจำเป็น
อรชุน
ไม่ต้องรอลุ้นถึงวันนี้ว่า มาตรการของรัฐบาลจากการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นจะออกมาแบบไหน เพราะ วิษณุ เครืองาม ได้ตั้งโต๊ะแถลงไปแล้วเมื่อเย็นวานนี้ โดยเป็นข้อกำหนดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่ 1 ซึ่งยังไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว ประชาชนยังคงสามารถเดินทางใช้ชีวิตได้เกือบปกติ แต่มีมาตรการพึงปฏิบัติสำหรับคน 3 ประเภทคือ ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป คนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลงไป โดยขอให้อยู่บ้านเป็นหลักยกเว้นมีเหตุจำเป็น
แน่นอนว่า เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งรายของผู้สูงอายุและเด็กนั้นอาจปฏิบัติตามได้ แต่รายของคนที่มีโรคประจำตัวจำนวนไม่น้อย น่าจะยังมีภารกิจที่ต้องไปปฏิบัติงานไม่ว่าจะในภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม โดยเฉพาะในส่วนของภาคเอกชน ตรงนี้หากจะให้ประสบความสำเร็จในมาตรการแสวงหาความร่วมมือ รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ อย่างที่บอกแล้วว่า บางอย่างไม่ใช่ว่าคนไม่อยากร่วมมือ แต่มันมีความจำเป็นในชีวิต ไม่มีใครอยากออกไปเสี่ยงในสถานการณ์เช่นนี้หากหลีกเลี่ยงได้
สำหรับมาตรการบังคับที่ระบุไว้ในข้อกำหนดฉบับแรกนั้น ก็เป็นไปตามประกาศที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง การปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดโรค การปิดช่องทางการเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ได้ปิดโดยสิ้นเชิงเพราะต้องเปิดรับให้คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเข้ามาด้วย ที่เน้นหนัก คงน่าจะเป็นประเด็นเรื่องของการห้ามกักตุนสินค้า การขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผล การห้ามการชุมนุมและการเสนอข่าว
เพราะหัวใจสำคัญที่รัฐบาลอยากควบคุมคือการนำเสนอข่าวที่พบว่า ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการระบาดและการเฝ้าระวัง นั่นนำมาซึ่งความตื่นตระหนกของประชาชน แต่สิ่งสำคัญตามข้อกำหนดเที่ยวนี้คือการเคลื่อนย้ายคนหรือการเดินทางกลับต่างจังหวัด ที่จะมีมาตรการเข้มข้นขึ้นในการตรวจคัดกรองทั้งตรวจโรคและจดบันทึกเกี่ยวกับรายละเอียดของผู้เดินทาง ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการสอบสวนโรคกรณีที่พบผู้ติดเชื้อ
นอกจากนั้น ยังจะเห็นได้ว่าการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเที่ยวนี้รัฐบาลดำเนินการไปด้วยความระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ อันจะเห็นได้จากข้อกำหนดที่ระบุไว้เรื่องนโยบาย การยังคงให้เปิดสถานที่ทำการ ในแง่ของสถานพยาบาล ร้านขายยา คลินิก ร้านอาหาร ต่าง ๆ เหล่านี้ยังพอเข้าใจ แต่ในส่วนของโรงงาน ภาคธุรกิจต่าง ๆ นั้น บางอย่างอาจจะต้องมีมาตรการในการเข้าไปกำกับดูแลและจำเป็นที่จะต้องให้หยุดเป็นการชั่วคราวหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของโรค
อย่างไรก็ตาม พอจะเข้าใจได้ต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทุกประเทศกำลังเผชิญ ในประเทศไทยก็ถือว่าสาหัสสากรรจ์ไม่ใช่น้อย ดังนั้น จึงต้องเว้นช่องว่างตรงนี้ไว้ ซึ่งมันจะไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดที่ขอความร่วมมือกับบุคคล 3 ประเภทในส่วนของผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ยังต้องไปทำงานก็จะไม่มีข้อยกเว้น ถือเป็นปัญหาที่คงต้องประเมินสถานการณ์และรอติดตามในการยกระดับที่เชื่อว่าจะมีตามมาอย่างแน่นอน
น่าสนใจ คงเป็นสิ่งที่วิษณุพูดถึงเคอร์ฟิว เพราะคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าถ้ามีจะเป็นข้อกำหนดเรื่องให้ออกบ้านตั้งแต่เวลานั้นกลับบ้านไม่เกินเวลานี้ แต่กรณีการสู้กับโควิด-19 เนติบริกรประจำรัฐบาลบอกว่า จะเป็นเคอร์ฟิวตลอด 24 ชั่วโมง เหตุเพราะโรคระบาดมันไม่เลือกเวลา แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้นเรื่องการออกไปหาอาหารหรือทำกิจธุระจำเป็น เคอร์ฟิวเที่ยวนี้หากต้องทำจะไม่เหมือนเคอร์ฟิวช่วงเวลากลางคืนแบบที่มีไว้ห้ามม็อบตีกันเหมือนที่ผ่านมา
จุดนี้ คงช่วยอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐบาลจึงยังไม่มีคำสั่งให้ปิดเมือง ปิดประเทศ เพราะยังคำนึงถึงการใช้ชีวิตของประชาชนในระดับหนึ่งก่อน และยังเชื่อมั่นว่ามาตรการที่ดำเนินการอยู่นั้นน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ จะเห็นได้ว่าวันนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ประกาศให้เข้าสู่ระยะที่ 3 ของการระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่มาตรการที่ใช้เวลานี้นั้น มองได้ว่ามันเกินกว่าสถานการณ์ไปแล้ว จึงภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจคาดการณ์และเชื่อมั่นก็แล้วกัน
ขณะที่การแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนที่จะมีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและการชี้แจงของวิษณุตามมานั้น ก็ยังคงเป็นท่วงทำนองแบบเดิม เพิ่มเติมคือการเน้นย้ำเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า สิ่งเหล่านั้นประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำว่าประเทศไทยจะชนะไปด้วยกัน ขอแค่มีมาตรการที่ให้คนเชื่อมั่นและทำให้เห็นว่าเอาอยู่ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องออกมาแถลงกันบ่อย ๆ
ส่วนบรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองบางพรรค ที่ออกมาทักท้วงเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยข้อเป็นห่วงการปิดปากประชาชนหรือปิดกั้นการเสนอแนะความเห็นของฝ่ายเห็นต่างนั้น คงต้องช่วยกันสะกิดเตือนด้วยความห่วงใยว่า จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คงไม่มีใครมองไปไกลถึงขนาดนั้น เวลานี้เป็นห้วงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อฟันฝ่าช่วงเวลาอันวิกฤตไปด้วยกัน บางครั้งก็ต้องยอมทนกับสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วยบ้าง เพราะท้ายที่สุดหากสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการไปไม่สำเร็จและเป็นข้อผิดพลาดก็ต้องมีผู้รับผิดชอบอยู่ดี
เรื่องแบบนี้ประชาชนติดตามดูอยู่ หลายเรื่องดูเหมือนจะขัดหู ขัดตาและขัดใจ แต่ทำยังไงได้ เมื่อผู้มีอำนาจเลือกที่จะเดินแบบนี้ โดยอาศัยฐานการตัดสินใจจากคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่เหลือในฐานะประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ บางที บางสถานการณ์ อาจจะต้องยอมทิ้งภาพของความเป็นฝ่ายค้านไปเสียบ้าง มิเช่นนั้น ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายค้านดะเหมือนบางพรรคบางพวกที่ผ่านมา
หากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะทำตัวให้เกิดประโยชน์จริง สิ่งที่ควรช่วยกันทำคือการเน้นการตรวจสอบเรื่องหน้ากากอนามัยให้จริงจัง เข้มข้นน่าจะดีกว่า เพราะงานนี้มีกลิ่นไม่ดีและส่อว่าน่าจะมีหลักฐานที่สาวไปถึงขบวนการหากินกับความเดือดร้อน ความเป็นความตายของประชาชนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น คนพรรคเดียวกัน คงไม่ออกมากระทุ้งกันแบบดับเครื่องชน ฝ่ายค้านคุณภาพต้องเน้นที่ผลสำเร็จของการตรวจสอบมากกว่าสร้างวาทกรรมทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามไปวัน ๆ