SET บ่ายแกว่งแคบ-ไร้ปัจจัยใหม่โบรกฯแนะสะสม 14 หุ้นเด่นช่วงนี้

SET เช้าแกว่งแคบ หลังนักลงทุนกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และรอดูนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในครึ่งปีหลัง ด้านตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ คาดบ่ายนี้ดัชนีหุ้นไทยแกว่งแคบต่อ โดยแนวรับ 1,420-1,430 จุด ส่วนแนวต้าน 1,440 จุด


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (6 ส.ค.) แกว่งแคบ เนื่องจากช่วงนี้เป็นการเข้าเก็งกำไรในผลประกอบการของหุ้นรายตัว ขณะที่ปัจจัยของราคาน้ำมันยังกดดันตลาดอย่างต่อ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลในเรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และยังรอดูนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในครึ่งปีหลังนี้ ด้านตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ

นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย ดัชนีฯแกว่งแคบต่อ โดยมีแนวรับ 1,420-1,430 จุด ส่วนแนวต้าน 1,440 จุด ขณะที่แนะนำซื้อ KTB-INTUCH-ADVANC-TRUEIF-STEC-CK-SEAFCO-SCC-KBANK-BLA-EA-AAV-BEAUTY และ TIPCO

 

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบ โดยเป็นช่วงของการเข้าเก็งกำไรในผลประกอบการของหุ้นรายตัว ขณะที่ปัจจัยของราคาน้ำมันยังกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลในเรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และยังรอดูนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในครึ่งปีหลังนี้ ด้านตลาดหุ้นภูมิภาคเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ

สำหรับแนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ คาดดัชนีหุ้นไทยแกว่งแคบต่อ พร้อมให้แนวรับ 1,420-1,430 จุด ส่วนแนวต้าน 1,440 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ส.ค.) SET แกว่งในกรอบแคบ โดยหุ้นใหญ่อย่าง PTT-ADVANC-AOT และกลุ่มธนาคารยังกดดันตลาดต่อ ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 ออกมาดี อย่าง BEAUTY (เป้าหมายทางเทคนิค 5.30/6.0 บาท) และ TASCO (เป้าหมายทางเทคนิค 29.75 บาท) มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าตลาดต่อเนื่อง แม้ SET ยังอ่อนแอ แต่ยังไม่ทำให้มุมมองการ Rebound ไปที่ 1,452 หรือ 1,490 เปลี่ยนแปลงไป

โดยยังมองหุ้นกลุ่มธนาคารที่มี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก และราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อน NPLs ที่เร่งตัวขึ้น และการเติบโตสินเชื่อต่ำไปแล้ว นอกจากนี้การคงดอกเบี้ยของ กนง.ที่ 1.50% เมื่อวานนี้ ทำให้ไม่มีแรงกดดันต่อ NIM ในช่วงไตรมาส 3/58 แนะนำ “ซื้อ” KBANK และ KTB ต่อเนื่อง ขณะที่แนะนำ “ซื้อ” 1) หุ้นปันผลสูง INTUCH-ADVANC-TRUEIF, 2) กลุ่มรับเหมาฯ วัสดุก่อสร้าง STEC CK SEAFCO SCC 3) กลุ่มหุ้น Valuation ต่ำ KBANK-BLA-EA และ 4) กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันปรับลดลง อย่าง AAV และ TIPCO (ทางอ้อมผ่าน TASCO)

นอกจากนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” BLA ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 60 บาท จาก 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 เติบโตแกร่ง จากช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าที่ 1,146 ล้านบาท โดยไม่มีการบันทึกสำรองจาก Bond Yield ที่ปรับลดลงเหมือนกับช่วงไตรมาส 1/58 แล้ว 2) ด้วย Downside จากการปรับลดดอกเบี้ยในประเทศจำกัด ทำให้โอกาสที่ BLA ต้องตั้งสำรองเมอีกในอนาคตจำกัดมาก

3) คาดกำไรปี 58-59เติบโตแกร่ง 44-56% ที่ 4.5-7.0 พันล้านบาท ขณะที่ PE ลดลงเหลือเพียง 12 เท่า ในปี 59 4) แนวโน้มอุตสาหกรรมประกันชีวิตยังมีแนวโน้มเติบโต 10% ต่อปี และ 5) เมื่อพิจารณาในทางเทคนิค BLA กำลังทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 50.75 บาท โดยถ้าทะลุไปจะมีเป้าหมายถัดไปที่ 52.75/54.0 บาท

 

บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ส.ค.) SET เคลื่อนไหวแดนลบ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ขณะที่ กนง.คงดอกเบี้ย 1.5% ตามคาดการณ์ แต่มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ให้ติดตามนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะมีออกมา โดยเช้านี้มีแรงขายในออกมาในหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมัน

ด้านตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ แต่ช่วงเช้าเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ตลาดหุ้นโตเกียวปรับตัวขึ้นตามเงินเยนที่อ่อนค่าลง ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลดลง -0.45%  ดัชนี SENSEX ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลดลง 0.3% ติดตามการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ที่นี้ เพื่อดูแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

แนวโน้มตลาดและหุ้นที่น่าสนใจภาคบ่าย หากดัชนีสามารถยืนตัวเหนือเส้นแนวรับที่ 1,432 จุดได้ มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบเป้าหมายเดิมที่ 1,445 จุดต่อไป

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า

PK มูลค่าการซื้อขาย 890.57 ล้านบาท ปิดที่ 7.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 819.04 ล้านบาท ปิดที่ 242.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

ASEFA มูลค่าการซื้อขาย 525.74 ล้านบาท ปิดที่ 5.90 บาท ลดลง 0.05 บาท

BEAUTY มูลค่าการซื้อขาย 466.45 ล้านบาท ปิดที่ 4.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 445.47 ล้านบาท ปิดที่ 318.00 บาท ลดลง 1.00 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button