แบงก์บาทกงเต๊ก
บรรดา “ผู้เฒ่า” ระดับเซียนแห่งเขาเหลียงซานทั้งหลายที่เคยโด่งดังในแวดวงการเงินและนโยบายการเงินประเทศกูมี นำทีมโดยดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ออกโรงต้านกรณี ออก พ.ร.ก.ให้ ธปท. (ที่ยามนี้กลายเป็นพินอคคิโอไปแล้ว) ตั้งกองทุน BSF อุ้มตราสารหนี้ด้วยวงเงิน 4 แสนล้านบาทด้วยวิธีการดิบเถื่อน-นอกตำรา จะกลายเป็น “เสือสิ้นลาย” หรือ “จิ้งหรีดแห่งสติ เจมินี่ คริกเก็ต” หรือทั้งสองอย่าง อีกไม่นานเกิน ก็คงได้รู้
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
บรรดา “ผู้เฒ่า” ระดับเซียนแห่งเขาเหลียงซานทั้งหลายที่เคยโด่งดังในแวดวงการเงินและนโยบายการเงินประเทศกูมี นำทีมโดยดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ออกโรงต้านกรณี ออก พ.ร.ก.ให้ ธปท. (ที่ยามนี้กลายเป็นพินอคคิโอไปแล้ว) ตั้งกองทุน BSF อุ้มตราสารหนี้ด้วยวงเงิน 4 แสนล้านบาทด้วยวิธีการดิบเถื่อน-นอกตำรา จะกลายเป็น “เสือสิ้นลาย” หรือ “จิ้งหรีดแห่งสติ เจมินี่ คริกเก็ต” หรือทั้งสองอย่าง อีกไม่นานเกิน ก็คงได้รู้
รู้ได้อย่างไร!!?
คำตอบคือ อาจจะรู้เมื่อเงินบาทกลายเป็นเงินกงเต๊กสำหรับเผาส่งให้เทพและญาติที่ล่วงลับบนสรวงสวรรค์นำทีมโดยเง็กเซียนฮ่องเต้ ไปเรียบร้อย จากการที่เงินอัดฉีด 4 แสนล้านบาทไม่ได้คืน หรือได้คืนกะปริบกะปรอย ซ้ำรอยเดิมกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ปัจจุบันรู้จักในนาม FIDF ที่ยังคงค้างชำระประมาณ 1 ล้านล้านบาท น่ะแหละ
เสียงสนับสนุนให้ใช้เงินด้วยวิธีดิบเถื่อน-นอกตำราของ ธปท.ที่ออกมาจากแถลงการณ์ “สาวเฒ่า” นางสาว ธาริษา วัฒนเกส (เจ้าของมาตรการ 18 ธันวาคม 2549 ที่ทำให้ตลาดหุ้นวันที่ถัดมาเกือบพินาศ) และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ที่มีผลประโยชน์โดยตรง) นอกจากยืนยันท่าทีหัวสี่เหลี่ยมแล้ว ก็ไม่ได้ให้คำตอบอื่นใด ที่น่าชื่นใจเลยว่าจะสามารถคืนสู่ “วิถีอารยะ” นอกจาก “ดั้นเมฆทำไปเถอะ”
คำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบคือ กรณีนี้ ธปท.จะต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาในท้องตลาดเงิน ที่จะส่งผลหลัก 2 ประการแบบเดียวกับที่เฟด BoJ และ ECB กระทำผ่านมาตรการ QE แล้วผลพ่วงที่ตามมาคือดอกเบี้ยต่ำติดพื้น และค่าเงินบาท อาจจะกลายเป็นเงินกงเต๊กได้ง่าย ๆ
โอกาสดังว่า ใช่จะเป็นไปไม่ได้ ก็หาไม่…เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง!!
จริงอยู่ ธปท.อาจจะมั่นใจว่า ตอนนี้ มีกองทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก หากมีอะไรพลาดพลั้งไป คง “เอาอยู่”
อย่าลืมความมั่นใจทำนองนี้แหละ เคยเกิดความผิดพลาดที่ทำให้ขาดทุนไปมากถึง 5.9 แสนล้านบาทจากการต่อสู้ (แล้วพ่ายยับเยิน) กับการโจมตีค่าเงินบาทของเฮดจ์ฟันด์ จนเงินทุนสำรองเหี้ยนกระเป๋า หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง และติดกับดักเงินกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ขยายวงเงินจากแรกตั้งในปี 2528 อีกเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทในเวลาต่อมา
ทัศนคติ “คุณพ่อรู้ดี” ของผู้บริหารธปท.เช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดมานานแล้ว นับตั้งแต่กรณี ตึกดำตามมาด้วยกรณีทรัสต์ 4 เมษายน 2527 ตามมาด้วยวิกฤตแบงก์เอเชียทรัสต์ (แบงก์สยาม) แต่ไม่มีครั้งไหนเลวร้ายเท่ากับวิกฤตต้มยำกุ้ง……แต่ก็ไม่เคยหลาบจำ (เพราะยังมีสื่อไทยจำนวนมากยังหลับหูหลับตาหลงเชื่อว่า ธปท.ยัง “มีน้ำยา”)
ครั้งนี้ก็เช่นกัน จากเริ่มต้นเอาเงินจากเอกชนมาตั้งกองทุนอุ้มตลาดตราสารหนี้ 80,000 ล้านบาท (ปากแข็งบอก เอาอยู่) แต่ทำไปทำมา ก็ดันทุรัง ออก พ.ร.ก.ให้ธปท. มีอำนาจตั้งกองทุนเพื่อซื้อหุ้นกู้เอกชนกลายเป็นกอง BSF เป็นเรื่องเป็นราว ด้วยวงเงิน 4 แสนล้านบาท (และบอกว่า “น่าจะ” เอาอยู่ซ้ำอีก)……ยังดีที่จมูกไม่งอกยาวแบบพินอคคิโอ ในนิทานเด็ก เลยเนียน ๆไป
ตัวเลขจาก สมาคมตราสารหนี้ไทย ระบุว่าขนาดของตลาดตราสารหนี้บริษัทเอกชน (ทั้งที่มีเรตติ้งและไม่มี) ปัจจุบันมีขนาด 3.7 ล้านล้านบาท (ประเมินจากตัวเลขหนี้คงค้าง) ถือเป็นส่วนหนึ่งของตลาดทุนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากตลาดพันธบัตรภาครัฐ (กระทรวงการคลัง และธปท.)
การออก พ.ร.ก.ให้ ธปท. ตั้ง กองทุนเพื่อซื้อหุ้นกู้เอกชน ก็ไม่ต่างจากการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯ ในปี 2528 แต่กองทุนหุ้นกู้จะไม่ใช่การอุ้มธนาคาร แต่จะเป็นการไปอุ้มบริษัทเอกชน โดยการไปซื้อหุ้นกู้ใหม่ของบริษัทเอกชน เพื่อให้บริษัทเอกชนนำเงินที่ขายหุ้นกู้ใหม่ได้ ไปจ่ายหนี้คืนหุ้นกู้เก่า
ประเด็นปัญหาคือ แทนที่ ธปท.จะทำตามแบบแผนการเข้าอุ้มตามที่ธนาคารกลางต้นแบบ อย่างเฟด BoJ หรือ ECB กระทำ ในการเข้าอุ้มทางอ้อม ผ่านสถาบันการเงินของรัฐบาล เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ และหรือธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อรักษาหลักการที่ธนาคารกลางควรเป็นเฉพาะนายธนาคารของรัฐบาล และเป็นแหล่งเงินสุดท้ายของธนาคารพาณิชย์ (Lender of the last resort) และอาจจะขยายไปถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาลด้วยเท่านั้น ถ้าจำเป็น……ดันทะลึ่งเป็นการเข้าอุ้มโดยตรง
ปฏิบัติการดิบเถื่อน-นอกตำราเช่นนี้ คนใน เฟด BoJ หรือ ECB มาเห็นคงมึนตึ้บไปตาม ๆ กันว่า มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เสียงคัดค้านที่ไม่ต้องการเห็น ผู้ตัดสิน กลายเป็นผู้เล่นเสียเองจึงเกิดขึ้น ด้วยความปรารถนาดี มุ่งรักษาหลักการ ไม่ใช่คัดค้านการเข้าอุ้ม
ใครที่บอกว่าเหตุผลของ “ผู้เฒ่า” ที่บอกว่า “การที่ธปท.เข้าซื้อขายตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนโดยตรง” โดยการแก้กฎหมาย จะเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้ธนาคารกลางอย่างธปท.ไปในทางเอื้อต่อเอกชนบางรายอย่างไม่โปร่งใสได้ในอนาคต เพราะกฎหมายอนุญาตให้ธปท.ใช้ดุลยพินิจในการให้ความอนุเคราะห์แก่บางรายและไม่ให้แก่บางราย โดยอ้างการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และเมื่อมีปัญหาเกิดการฟ้องร้อง ธปท.ก็จะต้องทำการฟ้องร้องบริษัทเอกชน ซึ่งจะทำให้เสียภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางได้ ไม่เข้าใจปัญหา…แสดงตนว่า กำลังทำภารกิจ “เต่าใหญ่ไข่กลบ” ตะแบงบิดเบือนเจตนา และหลงประเด็นเสียเองอย่างไร้เดียงสา หรือมีอคติ
การออกมาสนับสนุนนางสาวธาริษาของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล จึงไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกเสียจากอาการดันทุรังของคนที่เชื่อว่าตัวเองฉลาดและบริสุทธิ์กว่าคนอื่น ๆ ในสังคม ทั้งที่แหวกตำรานายธนาคารกลางอย่างบูดเบี้ยว ……เห็น ๆ กันอยู่
หรือจะให้เข้าใจกันว่า ธปท.ติดเชื้อจากพวกตุลาการภิวัตน์ที่ทำมากกว่ากรรมการตัดสิน มาเป็นผู้เล่นเสียเอง
การเสแสร้งลืมข้อเท็จจริงว่า การเข้าอุ้มตราสารหนี้เอกชนโดยตรง มีความเสี่ยงที่จะเสียหายมีอยู่สูงกว่าการอุ้มธนาคารอีก เพราะถ้าบริษัทไม่มีความเสี่ยง และมีความสามารถในการชำระหนี้ ก็คงไม่ได้มาอาศัยธนาคารแห่งประเทศไทยไปอุ้มซื้อหุ้นกู้ใหม่ไปใช้หนี้เก่าแบบนี้
ตัวอย่างความเสี่ยง ตราสารมีเรตติ้ง ไม่มีเรตติ้ง
อย่างแรกคงไม่เท่าไหร่ แต่อย่างหลังนี่สิ ยิ่งกว่าลิงแก้แหแน่นอน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำผิดพลาดที่ถลำลึกในการรับจำนำข้าวทุกเม็ดจากชาวนามาแล้ว ธปท.ก็กำลังถลำลึกจากการออก พ.ร.ก.เช่นนี้
ยิ่งนางสาวธาริษา พูดแบบ “คนเคยอยู่วงใน” ว่า ธปท.เป็นต้นคิดเรื่องนี้เอง ยิ่งทะแม่งและเพี้ยนไปกันยกใหญ่ว่า ผู้บริหาร ธปท.เอาส่วนไหนของร่างกาย ที่ไม่ใช่สมองคิดกันได้
ข้อเท็จจริงที่ไม่ควรลืมได้เลย อยู่ที่ว่า ธปท.นั้น ไม่ใช่เฟด ที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเท่าใดก็ได้เนื่องจากก.ม.พิเศษ (เฉพาะสหรัฐฯ) ที่เฟด พิมพ์ธนบัตรได้ไม่จำกัดจำนวนโดยไม่ต้องมีทองคำสำรองหรือทุนสำรองเงินตราหนุนหลัง
คำถามที่เป็นโจทย์ใหญ่ที่หากถามผู้บริหาร ธปท.มีอยู่ว่าการเข้าแบกรับความเสี่ยงแล้วเกิดปัญหาและความเสียหายขึ้นมา หากการเข้าอุ้มหุ้นกู้เอกชนนี้กลายเป็นบาปบริสุทธิ์ขึ้นมา
ไม่อยากคิดหาคำตอบจริง ๆ
อนาถจริงหนอ……ธนาคารกลาง ประเทศกูมี
หากเสียงค้านด้วยความปรารถนาดี ต้องการให้ธปท.กลับสู่ “วิถีอารยะ” ถูกเมินอย่างไม่แยแส สิ่งที่คนไทยจะต้องทำจากนี้ ก็คงไม่มีทางอื่น
คงต้องหาทาง (ถ้าพอมีเงินออมเหลือติดมือ) เปลี่ยนไปถือเงินเยน หยวน และดอลลาร์สิงคโปร์แทนเงินบาท……เพราะไม่อยากถือแบงก์กงเต๊กในมือ