โบรกฯ แท็กทีมเชียร์ “ซื้อ” LH ชูปันผลปัง เคาะเป้า 11.20 บ. อัพไซด์ 50%
โบรกฯ แท็กทีมเชียร์ "ซื้อ" LH ชูปันผลปัง เคาะเป้า 11.20 บ. อัพไซด์ 50%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบทวิเคราะห์ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH โดยมีนักวิเคราะห์หลายแห่งกำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หลังเชื่อว่า LH จะได้รับผลกระทบของมาตรการ LTV และสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่ม ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายจะเห็นการฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากมีการกระจายพอร์ตอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีสินทรัพย์รอขายในอเมริกาตามแผนการดำเนินงาน ส่งผลให้คาดว่าผลประกอบการของ LH จะลดลงจากปีก่อนไม่มาก หรืออาจทำได้ในระดับทรงตัวจากปีก่อน
นอกจากนี้ยังมองว่าปัจจุบันราคาหุ้นยังมี upside อีกมาก ประกอบกับคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในปีนี้ที่ระดับสูงราว 7-9.9% ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุน
โดยนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น LH ประเมินราคาเป้าหมายที่ 9.50 บาท/หุ้น และถือว่าเป็นหุ้น Top Pick ของกสิกรไทย ณ ตอนนี้ในเชิง performance เนื่องจากเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งมีการก่อสร้างโครงการตามความต้องการที่เกิดขึ้น และปัจจุบันภาพรวมของโครงการแนวราบมีโครงการคงเหลือพร้อมขาย (Inventory) ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียม
ขณะที่ผลกระทบของมาตรการบังคับใช้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ตั้งแต่ปีที่แล้ว และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์โดยรวมติดลบ อย่างไรก็ตาม โครงการแนวราบของ LH ส่วนมากเป็น “real demand” ที่โอนได้เร็ว และคาดว่ายอดขายคอนโดมิเนียมของ LH จะติดลบไม่มาก ทำให้มองว่ากลยุทธ์ของ LH ทั้งหมดสอดคล้องกับสถานการณ์และคาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาพรวมของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ มองว่า portfolio ของ LH มีสมดุลค่อนข้างดีจากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินัล 21 พัทยา และโรงแรมต่าง ๆ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ซึ่งหากสามารถเปิดทำการได้จะฟื้นตัวและกลับมาแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว และคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาสู่ระดับปกติใน 2-3 เดือน
สำหรับผลประกอบการปีนี้คาดว่าจะมีกำไรอยู่ในระดับ 7.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งในประมาณการนี้ยังไม่รวมกำไรจากการขายสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาในแผน เนื่องจากยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดี ผลประกอบการปีก่อนที่ 1 หมื่นล้านบาท รวมกำไรจากการขายทรัพย์สินที่สหรัฐอเมริการาว 2 พันล้านบาท ซึ่งหากคิดเฉพาะกำไรปกติจากการดำเนินธุรกิจ (core profit) ก็ยังถือว่าทรงตัวจากปีก่อนที่ราว 8 พันล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบันกำหนดราคาเป้าหมายของ LH ปีนี้ไว้ที่ 9.50 บาท เทียบกับราคาปัจจุบันถือว่ายังมี upside กว่า 30% ประกอบกับเงินปันผลเมื่อเทียบกับคาดการณ์ผลประกอบการที่ 7.3 พันล้านบาท จะมี Dividend Yeild ราว 7% ถือว่ามีราคาที่สมเหตุสมผล และ upside ค่อนข้างมาก
ส่วน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น LH ประเมินราคาเป้าหมายที่ 10 บาท/หุ้น ทั้งนี้ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก แต่ทาง LH เน้นการทำโครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งตลาดแนวราบมีความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานมากกว่าตลาดคอนโดมิเนียม จึงมองบวกต่อแนวทางการขายของ LH
ล่าสุดทาง LH สามารถสร้างยอดจองช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ได้ 3 พันล้านบาท หรือราว 1.5 พันล้านบาทต่อเดือน โดยที่มีโครงการใหม่เปิดตัวแค่ 2 โครงการ การเข้าเยี่ยมชมของลูกค้ายังอยู่ในระดับดี ขณะที่ LH มีแผนจะเปิดโครงการใหม่มากขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป โดยเชื่อว่ายอดจองจะค่อย ๆ ดีขึ้น อัตราการจองต่อเดือนน่าจะไปถึงประมาณการอัตราการจองที่ 1.8 พันล้านบาทต่อเดือน หรือยอดจองแนวราบทั้งปีที่ 2.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ คำนึงถึงระดับความเชื่อมั่นของผู้ซื้อบ้านคงไม่มากจึงประเมินยอดจองทรงตัว
ขณะเดียวกันคาดยอดโอนอสังหาริมทรัพย์อ่อนลง 2% ที่ 2.47 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายรอโอน (Backlog) ปีนี้อยู่ที่ราว 4.6 พันล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 2.5 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียมราว 2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากการโอนโครงการแนวราบที่ขายปีนี้ 1.98 หมื่นล้านบาท จากประมาณการยอดจองแนวราบ 2.2 หมื่นล้านบาท และคาดหมายการขายสต็อกโอนปีนี้เพียง 300-400 ล้านบาท
ส่วนรายได้ค่าเช่าทรงตัวตามผลลบของโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก คาดรายได้รวมลดลง 1% ขณะที่มาร์จิ้น อสังหาริมทรัพย์จะอ่อนลงเพราะโครงการคอนโดมิเนียมโอนปีนี้ไม่ได้มีมาร์จิ้นสูงเหมือนปีก่อน ส่วนมาร์จิ้นธุรกิจเช่าอ่อนลง เพราะรายได้ค่าบริหารโครงการที่ขายแล้ว (Center Point ทองหล่อ) มาร์จิ้นจะต่ำ ในเวลาเดียวกันเชื่อว่าการใช้งบการตลาดยังจำเป็นสำหรับการผลักดันยอดขายปีนี้
ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอ่อนลงเล็กน้อยจาก บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH อย่างไรก็ดี คาดหมายกำไรจากการขายอาคารที่สหรัฐอเมริกาในปีนี้ราว 1.8 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยประเมินกำไรสุทธิ 9.4 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะมาร์จิ้นที่อ่อนลง และบริษัทร่วมชะลอการเติบโต
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มกำไรไม่เติบโต แต่กลยุทธ์การทำธุรกิจสอดคล้องกับภาวะตลาด ขณะที่ประเมินเงินปันผลปี 63 ที่ 0.68 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 8% ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำลง ขณะที่ P/E ล่าสุด 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 15 เท่า
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น LH ประเมินราคาเป้าหมาย 11.20 บาท/หุ้น โดยประเมินว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง เกิดจากความกังวลต่อภาระหนี้สิน โดยเฉพาะหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดราว 15,000 ล้านบาท ภายใน 9 เดือน อย่างไรก็ตามมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว รวมทั้งบริษัทมีเงินสดจำนวน 8,700 ล้านบาท เพียงพอต่อการชำระหนี้ภายใน 6 เดือน
นอกจากนี้มองว่าบริษัทจะสามารถ Rollover หุ้นกู้ที่เหลือได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมี Rating A+ ถือว่าอยู่ใน Investment Rating (เป็นบริษัทที่มี Rating สูงสุดในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นจังหวะทยอยสะสม และบริษัทได้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.40 บาท (Div.Yld.6%) XD วันที่ 7 พ.ค. และจ่ายเงินวันที่ 22 พ.ค. 2563
อนึ่ง ราคาหุ้น LH วานนี้ (13 เม.ย.) ปิดตลาดที่ระดับ 7.45 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.47% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 184.99 ล้านบาท จึงยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 11.20 บาท ราว 50%