ตื่นทอง..ไม่ตื่นหุ้น
*เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ทำให้ “โมนิก้า” รู้ด้วยตัวเองทันทีว่านี่เป็น “ยุคตื่นทอง” มากกว่า “ยุคตื่นหุ้น” เพราะมีแต่คนเม้าท์แตกเรื่องราคาทองพุ่งขึ้นมายืนแถว 27,000 บาท เทียบกับไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้อยู่แค่ระดับ 23,000 บาท จึงสร้างความกระสันให้นักลงทุน “หน้าใหม่” และ “หน้าเก่า” กระโจนเข้าสู่ตลาดทองคำอย่างอึกทึกครึกโครมภายในระยะเวลาสั้น ๆ นะจะบอกให้
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ทำให้ “โมนิก้า” รู้ด้วยตัวเองทันทีว่านี่เป็น “ยุคตื่นทอง” มากกว่า “ยุคตื่นหุ้น” เพราะมีแต่คนเม้าท์แตกเรื่องราคาทองพุ่งขึ้นมายืนแถว 27,000 บาท เทียบกับไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้อยู่แค่ระดับ 23,000 บาท จึงสร้างความกระสันให้นักลงทุน “หน้าใหม่” และ “หน้าเก่า” กระโจนเข้าสู่ตลาดทองคำอย่างอึกทึกครึกโครมภายในระยะเวลาสั้น ๆ นะจะบอกให้
*ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้คนที่เก็บทองคำเป็นสมบัติเก่านำออกมาขายร้านทองกันจ้าละหวั่น จนทำให้ร้านทองถึงขั้นต้องออกประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ปิดรับซื้อ” เพราะร้านทองไม่มีเงินสดเก็บไว้มากมาย และจำเป็นต้องรักษาสภาพคล่องของกิจการให้ดำเนินงานต่อไปได้ เพราะแค่วันเดียวทางร้านต้องควักเงินมากถึง 200 ล้านบาทเพื่อรับซื้อทองคำจากผู้คนมากมายที่แห่กันขายไงล่ะจ๊ะ
*ประเด็นเหล่านี้เป็นโมเมนต์ที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมาสนใจเรื่องทองคำมากขึ้นกว่าปกติ เพราะกระแสความเชื่อของผู้คนบางกลุ่มตอนนี้มองว่า ทองพีกสุด! แต่คนอีกกลุ่มกลับเชื่อว่า ไปต่อยาว! และมีโอกาสไปถึงระดับ 30,000 บาท ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ถูกขับเคลื่อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงในห้วงเวลานี้นะนายจ๋า!
*ในเมื่อกระแสเรื่องนี้มาแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ “โมนิก้า” เลยถือโอกาสเท้าความไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 8-9 ปีก่อน เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับบรรดาขาลุยสักนิดหนึ่ง ขณะเดียวกันยังเป็นการเตือนสติเหล่านักเล่นอย่าได้ทะเล่อทะล่ากระโจนเข้าไปโดยไม่มีข้อมูลแบ็กอัพ เพราะห้วงเวลานี้เป็นจังหวะของการช่วงชิงความไว จึงต้องรักษาระเบียบวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัดนะตัวเอง
*โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้ราคาทองพุ่งแรงเกิดขึ้นในปี 54 (ปี 2011) ซึ่งเป็นปีที่ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง เพราะทันทีที่เปิดศักราชใหม่ขึ้นมาปุ๊บ ราคาทองคำก็ขึ้นมายืนอยู่ที่ 1,400 (20,000 บาท ช่วงนั้นบาทแข็ง) เหรียญต่อออนซ์เสียแล้ว ต่อจากนั้นราคาทองคำก็พุ่งทะลุแนวต้าน 1,600 เหรียญต่อออนซ์ ข้ามต่อไปถึงระดับ 1,700 เหรียญต่อออนซ์ และยังวิ่งผ่านระดับ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ได้แบบสบาย ๆ นะคะ
*สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดก็คือ ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่บริเวณ 1,950 เหรียญต่อออนซ์ (28,000 บาท) ในช่วงกลางปีดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก ๆ ที่ราคาทองคำโลกทำสถิติใหม่ แต่หลังจากนั้นราคาทองคำก็ทรุดฮวบลงอย่างรวดเร็ว และแกว่งตัวออกด้านข้างอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนจะตั้งลำสำเร็จในกลางปี 55 (ปี 2012) ตรงบริเวณ 1,550 เหรียญต่อออนซ์ พร้อมกับทะยานขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดพีกที่บริเวณ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ในช่วงปลายปีนะจะบอกให้
*ต่อจากนั้นราคาทองคำก็ทรุดหนักทันที และทำให้เริ่มปี 56 (ปี 2013) ราคาทองคำสตาร์ตที่ระดับ 1,680 เหรียญต่อออนซ์ และเริ่มไหลงมาเรื่อย ๆ พร้อมกับลงไปทำจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีที่บริเวณราคา 1,200 เหรียญต่อออนซ์ พร้อมกับแกว่งตัวไปมาอีกพักใหญ่ และเริ่มขยับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางปี 62 (ปี 2019) ซึ่งเป็นการกระชากทะลุ 1,350 เหรียญต่อออนซ์ และขึ้นไปทำจุดพีกที่บริเวณ 1,550 เหรียญต่อออนซ์ และทรุดตัวลงมายืนที่ระดับ 1,450 เหรียญต่อออนซ์ ก่อนจะจบปีไปในระดับ 1,520 เหรียญต่อออนซ์ไงล่ะจ๊ะ
*จุดที่น่าสนใจของปี 63 (ปี 2020) อยู่ตรงที่เดือน มี.ค. ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปถึง 1,700 เหรียญต่อออนซ์ปุ๊บ ต่อจากนั้นโดนกองทุนทั่วโลกขายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย เพราะต้องการเอา “กำไรทอง” ไปโปะ “ขาดทุนหุ้น” ส่งผลให้ราคาทองคำทรุดหนักลงมายืนที่ 1,450 เหรียญต่อออนซ์ ถัดจากนั้นก็วิ่งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนอยู่ที่บริเวณ 1,700 (26,600 บาท) เหรียญต่อออนซ์แบบนี้..คุณ ๆ ท่าน ๆ เชื่อกันไหมว่า ไปต่อยาว ? พะยะค่ะ
*วกกลับมาดูบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกันบ้างดีกว่า หลังดัชนีโดนกระหน่ำขายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ส่งผลให้ดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,200.15 จุด ลบไป 35.95 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.96 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของการปรับสมดุลมากกว่าประเด็นไหน ๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ฟ้องให้เห็นว่า อะไรที่เกินพอดี มักลงเอยด้วยความเจ็บปวด จึงอยากให้นักเล่นเก็บประสบการณ์ตรงนี้กันอีกนิดหนึ่งนะคะ