พาราสาวะถี

เคาะกันมาแล้วในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้หารือกับที่ปรึกษาด้านวิชาการและคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ถึงมาตรการที่จะชงให้ที่ประชุมศบค.พิจารณา เพื่อผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากที่พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 เวลานี้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กิจกรรมและกิจการบางประเภท สามารถที่จะกลับมาให้บริการได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎ กติกาที่จะเตรียมออกมาอย่างเคร่งครัด


อรชุน

เคาะกันมาแล้วในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้หารือกับที่ปรึกษาด้านวิชาการและคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ถึงมาตรการที่จะชงให้ที่ประชุมศบค.พิจารณา เพื่อผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากที่พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 เวลานี้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กิจกรรมและกิจการบางประเภท สามารถที่จะกลับมาให้บริการได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎ กติกาที่จะเตรียมออกมาอย่างเคร่งครัด

ชัดเจนว่า การผ่อนปรนดังกล่าวนั้น ต้องไปเป็นไปตามการประเมินความเสี่ยงของฝ่ายวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่ศบค.รับฟังข้อมูลมาโดยตลอด ซึ่งก็แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ เสี่ยงสูง เสี่ยงปานกลางและเสี่ยงต่ำ แน่นอนว่า กลุ่มสุดท้ายย่อมจะได้รับสิทธิ์ในการผ่อนคลายเป็นอันดับแรก แต่ทั้งหลายทั้งปวง หลังจากที่เปิดให้กลับมาทำกิจกรรมกันได้บางส่วนแล้ว การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัย ข้อปฏิบัติส่วนตัวสำหรับประชาชนทุกคน ยังคงต้องปฏิบัติกันอย่างเข้มข้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากิจการบางอย่างที่มีความเสี่ยงสูงมากคงต้องหยุดยาว เช่น บาร์ ผับ สถานบันเทิง คาราโอเกะ สนามพนัน บ่อน ทั้งนี้ ภาครัฐอาจจะต้องมีมาตรการเยียวยาที่มากกว่า 5 พันบาท เข้าไปดูแลลูกจ้างรวมทั้งผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ จะมากหรือน้อยต้องไปพิจารณากันอย่างละเอียดอีกที ที่ยืนยันจากวงถกของกระทรวงสาธารณสุขก็คือ หากในอนาคตจำเป็นต้องปิดกิจการใดอีก จะไม่ทำแบบครอบจักรวาล แต่จะสั่งปิดเฉพาะจุดที่มีปัญหาเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ภาครัฐได้ดำเนินการมาทั้งหมดนั้น ล้วนแต่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนอย่างเต็มที่ดังนั้น การคลายล็อกที่จะทำจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก เพราะถือว่าเป็นการปลี่ยนอย่างระวังมิเช่นนั้น โควิด-19 อาจกลับมาระบาดระลอกที่ 2 ระลอกที่ 3 อีก สิ่งที่กำลังพิจารณากันเวลานี้ก็เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้ แต่หลังจากนี้คงไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้ทุกอย่าง เช่น ร้านตัดผมคงต้องใช้การโทรศัพท์นัดหมายแทนการไปนั่งรอ การกินข้าวในร้านอาหารแบบนั่งโต๊ะก็คงต้องมีระยะห่างกันมากขึ้น

ทุกสิ่งที่จะดำเนินการนั้นหากผ่านกระบวนการกลั่นกรองกันมาอย่างรอบคอบแล้ว ประชาชนคงไม่มีปัญหา ไม่เหมือนกรณีที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศผ่านการแถลงการณ์ทางทีวีพูลเมื่อวันศุกร์ประเด็นจะส่งจดหมายเปิดผนึกถึง 20 เจ้าสัวเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องโควิด-19 ไม่มีการสื่อสารให้ชัดเจนว่าเป็นการเชิญมาหารือ ให้คำแนะนำหรือจะขอเงินสนับสนุนกันแน่ จนทำให้เกิดเป็นกระแสผ่านแฮชแท็กทางทวิตเตอร์กับคำที่ว่า รัฐบาลขอทาน”

วันนี้ ยิ่งฟังคำชี้แจงของ วิษณุ เครืองาม ที่บอกว่า ที่ท่านผู้นำจะทำนั้นไม่ได้เป็นการขอความช่วยเหลือหรือขอเงิน การวิจารณ์ของสื่อและฝ่ายค้านเพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ความจริงก็คือมีเศรษฐีหลายคนปรารภว่าอยากมาช่วย แต่คำถามก็คือ ถ้าจะมาช่วยมาด้วยวิธีการแบบไหนหรือจำเป็นที่จะต้องแสดงตัว โดยที่รัฐบาลเองก็ไม่กลัวข้อครหาว่า การเข้ามาของคนเหล่านั้นเป็นความประสงค์ดีไม่ได้มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝงแต่อย่างใด

คนทั่วไปก็พยายามที่จะคิดเช่นนั้น แต่ครั้งนี้ต้องโทษการสื่อสารของท่านผู้นำที่ไม่ชัดเจนเอง เหมือนอย่างที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต.ช่วยชี้แนะว่า ภาษาที่สื่อในสปีชนั้นมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทีมงานของท่านผู้นำพยายามอธิบาย สิ่งที่พลเอกประยุทธ์กล่าวผ่านแถลงการณ์วันนั้นก็คือ “ผมจะเขียนจดหมายเปิดผนึก” หมายถึงจดหมายที่ไม่ส่งถึงส่วนตัว แต่ประกาศให้โลกรู้ว่าฉันส่งถึงคนเหล่านั้นแล้วนะ แล้วเธอได้อ่านไปพร้อม ๆ กับชาวบ้าน

ก่อนจะบอกต่อว่า ถึงมหาเศรษฐี 20 คนของประเทศ” หมายถึงโฟกัสที่ความร่ำรวยล้นฟ้าเป็นหลัก ไม่ใช่ความคิด ไม่เช่นนั้นจะระบุมหาเศรษฐีและ 20 อันดับแรกไปทำไมยิ่งการเขียนจดหมายเปิดผนึกยิ่งไม่ใช่วิธีการขอความเห็น เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว สิ่งที่ถูกต้องท่านผู้นำต้องใช้คำว่าจับเข่าคุย เปิดทำเนียบฯ เดินสายพบ จึงจะสื่อสารให้เข้าใจว่าเป็นการรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะ งานนี้สมชัยจึงบอกว่า น่าจับทีมงานเขียนสคริปต์ให้ท่านผู้นำไปพูดมาตีก้นเสียให้เข็ด

เช่นเดียวกัน องอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็มองในมุมนี้ว่า เรื่องนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่นายกฯ มีปัญหาเรื่องการสื่อสารในสถานการณ์วิกฤติแบบไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา สาระไม่ชัดเจน ทำให้เกิดการตีความได้หลายแง่มุม ถ้านายกฯ เขียนจดหมายเรียบร้อยแล้วนำเนื้อหาสาระมาเปิดเผยตรงประเด็น อาจทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ลดลงยิ่งในประเด็นที่โฆษกรัฐบาลอ้างว่านายกฯ ตั้งใจอยากรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนโดยตรง ยิ่งต้องคิดกันให้มาก

ท่านผู้นำควรเชิญชาวบ้านที่เดือดร้อนลำบากจากผลกระทบวิกฤติโควิด-19 มารับฟังโดยตรงด้วย ไม่ควรฟังแต่มหาเศรษฐีอาจฟังมหาเศรษฐีที่มีประสบการณ์บริหารธุรกิจจนร่ำรวยให้มาช่วยเสนอความคิดเห็นว่าจะช่วยกันแก้ไขผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไรก็ได้ แต่ท่านผู้นำควรฟังเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ด้วย จนถึงวันนี้มาตรการเยียวยา 5 พันที่เปิดให้อุทธรณ์กันไปแล้ว ยังดูท่าว่าจะมีปัญหาไม่จบไม่สิ้น

การที่จะฟังข้อมูลจากภาคส่วนต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรรับฟังให้รอบด้านเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง อีกสิ่งที่เป็นความห่วงใยจาก จาตุรนต์ ฉายแสง ก็น่ารับฟังไม่น้อยมหาเศรษฐีที่ท่านผู้นำกำลังจะขอความร่วมมือนี้มีทั้งคู่สัญญาของรัฐ เจ้าของสัมปทาน และผู้ที่ต้องทำงานกับรัฐที่จะต้องมีการเจรจาทางธุรกิจกันความริเริ่มที่หลงทิศผิดทางนี้ น่าจะเกิดจากการไม่รู้บทบาทหน้าที่และความรู้สึกอับจนปัญญาของท่านผู้นำเอง

ถ้าจะพูดเรื่องเงิน รัฐบาลควรรับฟังทุกฝ่ายแล้วใช้เวลาทบทวนแผนการใช้งบประมาณกว่า 1 ล้านล้านบาทที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าไม่ตรงจุดให้เป็นประโยชน์กว่าที่เป็นอยู่ และควรวางแผนสร้างรายได้ของคนทั้งประเทศมารองรับการเป็นหนี้มหาศาลในครั้งนี้ ไม่ใช่มาออกอาการหมดท่าหวังเงินบริจาคจากมหาเศรษฐีแบบนี้ อย่างที่สมชัยเตือนด้วยความห่วงใยอีกเช่นกันนั่นแหละ ทุกคำพูด ทุกอากัปกิริยา ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในยามนี้ เพราะศึกครั้งนี้ยังยาวไกล

Back to top button