พาราสาวะถี
สถานการณ์ในแง่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ของประเทศไทย ถือว่าดีขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดลดต่ำลงไปอยู่ในระดับเลขตัวเดียวที่ 9 ราย แต่ทั้งหมดนี้จะยังเบาใจ ไว้วางใจไม่ได้ มาตรการที่ดำเนินการกันมาทั้งการป้องกัน คัดกรอง คัดแยกและรักษา ยังคงจะต้องเข้มข้นกันต่อไป ส่วนการผ่อนคลายความเข้มข้นในการเฝ้าระวังของรัฐบาลนั้น ก็เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถขยับตัวได้ ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับหนึ่ง
อรชุน
สถานการณ์ในแง่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ของประเทศไทย ถือว่าดีขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดลดต่ำลงไปอยู่ในระดับเลขตัวเดียวที่ 9 ราย แต่ทั้งหมดนี้จะยังเบาใจ ไว้วางใจไม่ได้ มาตรการที่ดำเนินการกันมาทั้งการป้องกัน คัดกรอง คัดแยกและรักษา ยังคงจะต้องเข้มข้นกันต่อไป ส่วนการผ่อนคลายความเข้มข้นในการเฝ้าระวังของรัฐบาลนั้น ก็เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถขยับตัวได้ ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับหนึ่ง
แต่ทั้งหมดยังคงอยู่ภายใต้มาตรการดูแลด้านความมั่นคงจากพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะขยายการบังคับใช้ไปอีก 1 เดือน เช่นเดียวกับกรณีของเคอร์ฟิว เรื่องนี้ไม่ต้องมองว่าเป็นประเด็นทางการเมือง รัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษโดยอ้างเหตุของโรคระบาดแต่เป้าหมายคือต้องการควบคุมความเคลื่อนไหวของฝ่ายเห็นต่าง เพราะความจริงในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่มีใครจะมีกะจิตกะใจไปฝักใฝ่หรือให้ความสนใจกับประเด็นทางการเมืองทั้งนั้น แม้แต่นักการเมืองด้วยกันเองก็ตามที
หากใครมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ โดยเสนอแง่คิด มุมมองที่ห่างไกลไปจากความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ รับรองได้ว่าจะต้องถูกประณามและไร้ที่ยืนทางสังคมเป็นแน่ แต่หากเป็นกรณีที่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เสนอความเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลและเต็มไปด้วยความหวังดี ตรงนี้จะมองว่าเป็นมิติทางการเมืองก็คงไม่ถูกต้อง เพราะท่านผู้นำเป็นคนพูดเองว่าโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน
หรือจะตั้งหน้าตั้งตาฟังแต่ 20 เจ้าสัวและพร้อมจะทำตามทุกคำแนะนำ ซึ่งคงไม่ใช่ เช่นเดียวกันกับการไปยื่นหนังสือของ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อถกถึงมาตรการและการช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สูตรง่าย ๆ และตายตัวของทุกรัฐบาลโยนให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ เท่านี้ก็จบ เพราะเมื่อเป็นเรื่องของสภา การจะเปิดประชุมได้ก็ต้องใช้เสียงตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อพิจารณาถึงเสียงที่เป็นไปตามข้อกฎหมาย ส.ส.พรรคฝ่ายค้านรวมรายชื่อกันก็ไม่สามารถยื่นขอเปิดประชุมได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ยิ่งเป็นส.ว.ลากตั้งยิ่งไปกันใหญ่ ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลมองว่า 22 พฤษภาคมก็จะเปิดประชุมสภาสมัยสามัญแล้ว ไม่เห็นจะต้องรีบขอเปิดประชุมอะไรกันในช่วงนี้ ถ้าฝ่ายค้านไม่มีมิติทางการเมืองอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ปล่อยให้รัฐบาลเดินบนความเชื่อแบบนั้น ถ้าสถานการณ์ของโรคระบาดมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารทั้งสิ้น
นี่ว่ากันไปตามกระบวนการ ส่วนการขยับของเหล่าบรรดานิสิต นักศึกษาเรื่องการก่อม็อบผ่านโซเชียลมีเดีย หรือ Mob from Home ที่ถูกตีรวนมาจากสมาชิกสภาลากตั้งนั้น ความจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแสดงออกเพื่อปกป้องอะไรรัฐบาลมากมาย ท่านผู้นำเองก็พูดอยู่ตลอดเวลา สุขภาพต้องมาก่อนเสรีภาพ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องแยแสเสียงทักท้วงที่ใด ๆ ยิ่งตั้งเป้าไว้กับเสียงของ 20 เจ้าสัว เสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ยิ่งไม่มีความหมาย
อย่างไรก็ตาม น่าคิดอยู่เหมือนกันกับทัศนคติของส.ว.ลากตั้งกับโฆษกวิปรัฐบาลที่กล่าวหาความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเหล่าปัญญาชนว่า นักเรียนนักศึกษาเขาให้เรียนหนังสือ หาความรู้ ไม่ใช่มาไล่คนโน้นคนนี้ ทุกคนต้องรู้หน้าที่ตัวเองไม่ใช่มาไล่ส.ว. มาไล่รัฐบาล ถือเป็นฐานความคิดที่อันตรายต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะส.ว.ลากตั้งยิ่งออกมาปกป้องอำนาจสืบทอดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เห็นความห่างไกลกับประชาชนมากเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือสนท. จึงออกมาสะกิดคนเหล่านี้เบา ๆ ว่า การจะนำเสนอประเด็นเช่นนั้นดูขัดกับความรู้ความเข้าใจของตนเรื่องประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่ว่า “ประชาชนทุกคนควรมีสิทธิในการมีส่วนร่วม” ตามที่ประชาชนที่ดีในระบอบประชาธิปไตยควรทำในการเสริมสร้างวัฒนธรรม “check and balance” เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ก่อนที่จะตบท้าย หรืออาจเรียกได้ว่าตบหน้าบรรดาผู้ใหญ่ชอบเชลียร์ทั้งหลาย ด้วยการอธิบายว่า เวลาเรียนหนังสือพวกตนก็เข้าเรียนไม่เคยขาดตกบกพร่อง เวลาว่างก็เสาะหาความรู้ อ่านหนังสือที่สนใจเพื่อพัฒนาตัวเอง ตามหน้าที่ และช่วงวัยแห่งการแสวงหาความรู้ ตนมีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอต่อการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและนำเสนอข้อวิพากษ์ภายใต้หลักการและเหตุผลที่อิงตามหลักสากลที่มีมาตรฐาน
เมื่อยืนอยู่บนหลักการและพื้นฐานอันเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ก็จงเชื่อมั่นและเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องเช่นนั้นต่อไปเถอะ อย่าได้สนใจพวกที่อ้างหลักการหรือความจริงแล้วอาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าหลักกู เพื่อพวกกูและคนที่มีบุญคุณกับกูเสียมากกว่า คนเหล่านี้หาได้มีแนวคิดที่จะมองผลประโยชน์ส่วนร่วมใหม่ วัน ๆ คิดแต่จะปกป้องผู้มีอำนาจเพื่อหวังผลต่อประโยชน์ส่วนตัวของตัวเองเท่านั้น บางทีอาจจะต้องให้เด็กเหล่านี้มาช่วยสั่งสอนเรื่องสำนึกที่ดีต่อระบอบประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ
อีกหนึ่งแรงที่ออกมาหนุนนักศึกษาคือ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา ที่ย้ำว่า แม้มีการระบาดของโควิด-19 แต่ประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนยังต้องส่งเสียง ไม่ควรลดทอนหรือปิดกั้นโดยอาศัยสถานการณ์โควิดเป็นเครื่องมือ Mob from Home จึงเป็นนวัตกรรมทางการเมืองที่น่าสนใจยิ่ง ขณะเดียวกันหมอสุภัทรก็มีประเด็นที่ชวนคนมาร่วมกันต่อต้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสาธารณสุขโดยตรง
นั่นก็คือ การที่ครม.วันนี้จะมีการเคาะให้ไทยเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ CPTPP ซึ่งหลายฝ่ายมั่นใจว่าจะกระทบความมั่นคงด้านอาหาร เมล็ดพันธุ์ สมุนไพร และยา แน่นอนว่า หากจะโจมตีคนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้ ก็ต้องกระตุกรัฐบาลเช่นกันว่า การรีบเร่งมีมติครม.เห็นชอบโดยอาศัยช่วงโควิดเป็นทางลัดในการกระโดดเข้าร่วม CPTPP นั้น เป็นการฉวยโอกาสที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ควรฟังความเห็นจากหลายภาคส่วนให้ถ้วนทั่วก่อนหรือไม่ จึงจะชอบธรรมและถูกต้อง