พาราสาวะถี
สามวันติดกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ที่อยู่ในหลักต่ำสิบ ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ทำให้ทุกฝ่ายอุ่นใจได้ แต่อย่างที่ย้ำว่า ไม่สามารถเบาใจหรือไว้วางใจได้ ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในหลายประเทศ การ์ดตก ย่อหย่อน ผ่อนปรนกันแล้ว ประชาชนไม่รักษาวินัย ไม่ปรับเปลี่ยนสู่การใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ การระบาดในระลอก 2 และ 3 จะตามมาทันที นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลโดยศบค.ประเมินกันอย่างรัดกุม โดยอาศัยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นสำคัญ
อรชุน
สามวันติดกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ที่อยู่ในหลักต่ำสิบ ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ทำให้ทุกฝ่ายอุ่นใจได้ แต่อย่างที่ย้ำว่า ไม่สามารถเบาใจหรือไว้วางใจได้ ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในหลายประเทศ การ์ดตก ย่อหย่อน ผ่อนปรนกันแล้ว ประชาชนไม่รักษาวินัย ไม่ปรับเปลี่ยนสู่การใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ การระบาดในระลอก 2 และ 3 จะตามมาทันที นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลโดยศบค.ประเมินกันอย่างรัดกุม โดยอาศัยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นสำคัญ
วันนี้ถามว่า คนที่เดือดร้อนต้องการให้มีการผ่อนปรนมาตรการที่เคร่งครัดกันหรือไม่ ทุกคนย่อมอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา แต่เมื่อได้เห็นความเสียหายที่โควิด-19 ได้สร้างขึ้นแล้ว เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า จากนี้ไปทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องปรับตัวกัน เพียงแต่ว่าในระยะเปลี่ยนแปลง ภาครัฐจะต้องหามาตรการในการเข้ามาดูแล ช่วยเหลือ แน่นอน ไม่สามารถช่วยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า แต่จะทำอย่างไรให้มีจำนวนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด
ตัวเลขของผู้ได้รับเงินเยียวยา 5 พันก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นขนาดไหน ทำให้ประเมินตัวเลขผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือผิดไปถึงกว่า 5 เท่าตัว จากที่จะช่วยเหลือ 3 ล้านราย 3 เดือน วงเงิน 45,000 ล้านบาท กลับกระโดดไปที่ไม่เกิน 16 ล้านคน วงเงิน 240,000 ล้านบาท ขณะที่เกษตรกรก็จะให้ความช่วยเหลือไม่เกิน 10 ล้านราย วงเงิน 150,000 ล้านบาท ซึ่งจากบทเรียนของเงินเยียวยาล็อตแรก คงจะไม่เกิดปัญหาต่อการแจกให้กับเกษตรกรอีก
แรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อการทำงานแก้ไขสถานการณ์วิกฤติหนนี้ของท่านผู้นำนั้น ทุกคนเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างถือเป็นการขันอาสาเข้ามาเอง โดยเฉพาะสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม อยากจะสะกิดเตือนท่านผู้นำในเรื่องของคำขู่ที่ย้ำว่า จะจัดการกับพวกที่สร้างข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมาอ้างเรื่องการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เกิดปุจฉาขึ้นมาทันทีทันใดว่า แล้วที่เกิดข่าวปลอมว่าพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยจะแจกเงินแท็กซี่นั้น ฝ่ายรัฐจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ไม่ต้องอ้างว่ารอให้ผู้เสียหายไปร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะกรณีนี้ชัดเจนว่าเป็นข่าวปลอมอย่างแท้จริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะต้องเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เลือกที่จะจัดการกับขบวนการสร้างข่าวปลอมเฉพาะในส่วนที่เป็นปัญหาและทำลายภาพลักษณ์ของผู้นำและรัฐบาลเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาของประเทศและบ้านเมือง แต่เป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองของฝ่ายถืออำนาจมากกว่า
แรงกระเพื่อมภายในพรรคสืบทอดอำนาจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวหัวหน้าและเลขาธิการพรรค สยบทุกความเคลื่อนไหวไปแล้วเมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์พรรค ที่ถูกเสี้ยมหรือปล่อยข่าวว่าจะเข้ามายึดอำนาจภายในพรรค ยืนยันหนักแน่น “ไม่รับตำแหน่งใด ๆ ในพรรค และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค” ด้วย ประกาศกันดัง ๆ เช่นนี้ พวกที่ก่อหวอดก็ต้องเงียบไปโดยปริยาย
ไม่เพียงเท่านั้น สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหรืออว. ที่มีข่าวถูกแซะเก้าอี้โดยปรากฏชื่อของ สุชาติ ชมกลิ่น ประธานส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจจะมาเสียบแทน ตอกกลับพวกปล่อยข่าวแบบนิ่ม ๆ ไม่ได้ยึดติดเก้าอี้ ในช่วงสถานการณ์วิกฤติขนาดนี้ มาคิดเรื่องการเมืองได้อย่างไร การที่จะมานั่งดึงเกมทางการเมืองในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตินั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ถือเป็นการตบหน้าพวกที่กระสันอยากได้ตำแหน่งกันเบา ๆ อีกด้านก็สะท้อนภาพให้เห็นว่าเด็กในคาถาของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั้นเชื่อมั่นว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังคงไว้วางใจตัวเองและคณะ เมื่อย้ำเหมือนการส่งสัญญาณไปถึงฝ่ายตรงข้ามว่า “พร้อมที่จะไปถ้านายกฯ บอก” นอกจากนั้น ยังมีการทวงบุญคุณไปในตัวด้วยประโยคที่ว่า ไม่ได้ทำงานแค่ให้พรรคอย่างเดียวแต่ทำงานเพื่อบ้านเมือง เหมือนจะบอกว่าในยามที่ฟันฝ่ากันมาช่วงเผด็จการครองเมืองนั้น ใครกันที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านผู้นำมาอย่างเหนียวแน่น
ไม่มีอะไรมาก ด้วยจังหวะเวลาที่การปล่อยข่าวในลักษณะเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะยังมองไม่เห็นฝั่งว่าสถานการณ์ของโควิด-19 นั้นจะจบลงอย่างไร แม้จะคลี่คลายเบาบางลงไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน ความบอบช้ำและเดือดร้อนของประชาชนที่เผชิญนับวันยิ่งจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากยิ่งขึ้น ล่าสุด กับข่าวหญิงสาวอายุ 20 ปีที่วาดภาพท่านผู้นำพร้อมข้อความตัดพ้อถึงรัฐบาลว่าใจร้าย ช่วยเหลือไม่ทั่วถึงจนตัวเองไม่มีเงินซื้อนมให้ลูก ก่อนที่จะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง
นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่รัฐบาลจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะจากมาตรการของภาครัฐนั้น ไม่ได้รุนแรง เพราะตราบใดที่ยังมีความเคลื่อนไหวในลักษณะต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงความทุกข์ร้อน อันเนื่องจากยังไม่สามารถเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐ เป็นสิ่งที่ท่านผู้นำต้องตระหนักอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันจะหมายถึงเสถียรภาพและความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลหลังวิกฤติ
ขณะที่การจะผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดผลกระทบของประชาชนนั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าศบค.จะเคาะกันมาแบบไหน ที่แน่ ๆ หลังจากวันนี้ไปแล้วมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของบางจังหวัดจะสิ้นสุดลง โดยที่ฝ่ายกุมอำนาจยังไร้ความชัดเจนว่าจะยังไงกันต่อ มันจะกลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการซื้อขายและอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มสุมหัว จนเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกก็เป็นได้
อย่าลืมเป็นอันขาดก่อนหน้านั้นมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดมาตรการเฉพาะพื้นที่ในการควบคุมเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลังจากนี้ผู้นำย้ำชัดทุกอย่างต้องเป็นมาตรการเดียวกันทั่วประเทศ ดังนั้น จะเดินกันแบบไหน ผ่อนคลายกันอย่างไร ก็อย่ามัวเงื้อง่าราคาแพง เพราะทุกความล่าช้ามันหมายถึงชีวิตและความเดือดร้อนของประชาชน ขณะเดียวกันมันก็คือช่องว่างที่พวกฉวยโอกาสจ้องจะแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมแต่อย่างใดด้วย