SCC พลิกเกมสู้วิกฤติ

เป็นตัวเลข “ไม่น่าประทับใจ” มากนัก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศงบไตรมาส 1/63 ออกมากำไรสุทธิ 6,971 ล้านบาท ลดลงกว่า 40% โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลส์ กำไรลดลง 70% จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้สเปรดปิโตรเคมี อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง


พลวัตปี 2020 : สุภชัย ปกป้อง

เป็นตัวเลข “ไม่น่าประทับใจ” มากนัก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศงบไตรมาส 1/63 ออกมากำไรสุทธิ 6,971 ล้านบาท ลดลงกว่า 40% โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลส์ กำไรลดลง 70% จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้สเปรดปิโตรเคมี อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง

โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 15,424 ล้านบาท ลดลง 26% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากบริษัทร่วม รายได้จากการขายเท่ากับ 105,741 ล้านบาท สาเหตุรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง ขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายลดลงดังกล่าว

ทำให้ SCC ต้องพลิกเกมสู้ทันที เริ่มจากการทบทวนเป้าหมายยอดขายปี 2563 จากเดิมวางเป้าอยู่ระดับ 4.38 แสนล้านบาท หลังไตรมาส 1/63 มียอดขาย 1.06 แสนล้านบาท ลดลง 6% จากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

ตามมาด้วยแผนการตัดลดค่าใช้จ่ายลงทุนปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อบริหารสภาพคล่อง

โดยมีการทบทวนแผนลงทุนด้วยการปรับค่าใช้จ่ายการลงทุนปีนี้ลงเหลือ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท จากเดิม 6-7 หมื่นล้านบาท และพร้อมปรับลดลงอีก หากสถานการณ์แย่ลงไปกว่านี้ ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนาม แม้มีความคืบหน้า 33-34% แต่เดินหน้าต่อไป

ส่วนของ M&A ที่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญระยะยาวนั้น จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง แม้ขณะนี้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งก็ตาม และยืนยันไม่มีแนวทางใช้วงเงินจากกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund : BSF) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

สำหรับการบริหารสภาพคล่องซัพพลายเชน มีการปรับลดสต๊อกผลิตภัณฑ์ลงระดับ 3-5% พร้อมการบริหารด้านความเสี่ยงทางการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกค้าที่มีเกิดขึ้นจริง

ขณะที่โครงสร้างทางการเงิน ถือว่ามีความแข็งแกร่งโดยมีเงินสดและเงินสด 84,333 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ 70,898 ล้านบาท และอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือต่อยอดขายเท่ากับ 46 วัน มีหนี้สินสุทธิ 190,406 ล้านบาท

ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA เท่ากับ 2.7 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA (ไม่รวมโครง การลงทุนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) อยู่ที่ระดับ 1.9 เท่า

จากข้อมูลเบื้องต้นคงไม่มีใครติดใจหรือเป็นห่วงเรื่องสถานะความเป็น SCC ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ที่กระบวนยุทธ์การวางแผนรับมือเป็นสำคัญ เพราะนอกเหนือจากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ต้องติดตามดูว่า “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” จะเริ่มเห็นชัดเมื่อไหร่

เพราะนั่นหมายถึง..การหยุดยั้งขาลงของกำไร ที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

Back to top button