ส่อง 2 กองทุน Yield สูงกว่า 6%
ในช่วงจังหวะที่รอการทยอยประกาศงบการเงิน มีหลักทรัพย์กลุ่มกองทุน REITs และกองทุน IFFs กลับมาได้รับความนิยมสูงอีกรอบ
เส้นทางนักลงทุน
ว่าด้วยแนวโน้มดัชนี SET Index มีการประเมินว่า น่าจะซึม ๆ โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัด ส่วนปัจจัยเชิงบวกภายในที่คอยหนุนตลาด อย่างมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาลและมาตรการพยุงเศรษฐกิจ เชื่อว่าตลาดขึ้นรับข่าวไปแล้ว ขณะที่เริ่มไม่เห็นอุตสาหกรรมไหนที่จะหนุนตลาด โดยที่ผ่านมาตลาดใช้กลุ่มผลิตไฟฟ้า สื่อสาร เป็นตัวหนุนดัชนี แล้วขายในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารออก ดังนั้นหากจะกลับมาเล่นกันใหม่ จะต้องรอดูงบไตรมาส 1 ปี 2563 ก่อน
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจะชัดเจนขึ้นหลังงบไตรมาส 1 ปี 2563 ทยอยประกาศ แม้จะรู้แล้วว่าจะออกมาแย่ แต่ยังต้องดูมุมมองของนักวิเคราะห์ต่ออัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นไทยทั้งปีหรือดู Earning revision ratio ว่าจะติดลบเท่าไร ซึ่งจะนำไปสู่การประเมินกรอบของดัชนีในทางพื้นฐานของปีนี้ได้ว่าจะอยู่ที่เท่าไร
ถือว่าในช่วงนี้ คาดดัชนีน่าจะยังแกว่งตัวทั้งแดนบวกและลบจากอิทธิพลจากตลาดหุ้นสหรัฐ และราคาน้ำมัน ไปอีกสักพัก จนกว่างบของหุ้นกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจะทยอยประกาศออกมา
ดังนั้นในช่วงจังหวะที่รอการทยอยประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ออกมานั้น มีหลักทรัพย์กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนสาธารณูปโภค (IFFs) กลับมาได้รับความนิยมสูงอีกรอบ !
สืบเนื่องจากธุรกิจมีรายได้เป็นค่าเช่าที่มีลักษณะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ และจ่ายปันผลได้สูงมากในอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5-7% เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี ที่อยู่ราว 1% เศษในระยะนี้
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของดัชนีกลุ่ม REITs และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ถึงปัจจุบัน เป็น 13% ถือว่าต่ำกว่าดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นราว 15%
ผลดังกล่าวทำให้ทาง บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส เห็นว่า หลักทรัพย์กลุ่ม REITs ยังมีความน่าสนใจในลักษณะธุรกิจที่เสี่ยงน้อยกว่า แต่ให้อัตราผลตอบแทนปันผลที่สูง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงมาก (Risk Aversion) ในยามที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมาก
ดังนั้นลักษณะการลงทุนควรเลือกหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ หรือไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจมาก (Defensive) ที่แนะนำในระยะนี้มี 2 กองทุนน่าสนใจ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนปันผลที่สูง ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท หรือ AIMIRT
รายละเอียดมีดังนี้
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF เนื่องจากกองทุนมีสิทธิบริหารสินทรัพย์เฉลี่ยเหลือยาวถึง 19 ปี มีผู้เช่าหลักของกองทุนคือกลุ่ม TRUE ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมของไทย จึงมีความมั่นคงสูง คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้สูงเป็น 6.9% จ่ายทุกไตรมาส แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 18.80 บาท
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท หรือ AIMIRT เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจแข็งแกร่งจากส่วนรายได้ที่ได้รับการประกันไว้แล้ว ด้วยสัญญาเช่าระยะยาวและมีศักยภาพที่จะซื้อสินทรัพย์ใหม่เข้ามาบริหารเพิ่มอีก สินทรัพย์ของกองทุนมีการกระจายตัวโดยมีทั้งห้องเย็น คลังสินค้า ถังเก็บสารเคมี อัตราการเข้าเช่า (OR) สูงเป็น 100% ด้วยอัตราการเติบโตค่าเช่าที่เพิ่ม 1.5-2.0% เทียบอุตสาหกรรมที่ทรงตัว คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้สูงเป็น 7.3% จ่ายทุกไตรมาส แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 14.60 บาท
โดยทั้ง 2 กองทุนข้างต้นอาจเป็นตัวเลือกของการลงทุนในช่วงตลาดผันผวน และเลือกลงทุนยามอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ! เพราะทั้งสองกองทุนถือว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง