พาราสาวะถี
สิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างในการแถลงข่าวหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารว่าไม่ได้สั่งให้กอ.รมน.ไปทำโพลถามความเห็นประชาชนว่าถึงเวลายกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วหรือยัง แต่กลับมีการยกโพลของสื่อบางสำนักมาอ้างว่า มีชาวบ้านถึง 88 เปอร์เซ็นต์ที่หนุนให้คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ถามว่าอย่างนี้จะเรียกโพลยกเมฆหรือโพลเชลียร์ได้ไหม เพราะการไม่บอกที่มาว่าเป็นสื่อไหนคนส่วนใหญ่ย่อมเกิดคำถามและมีผลต่อความน่าเชื่อถือ
อรชุน
สิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างในการแถลงข่าวหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารว่าไม่ได้สั่งให้กอ.รมน.ไปทำโพลถามความเห็นประชาชนว่าถึงเวลายกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วหรือยัง แต่กลับมีการยกโพลของสื่อบางสำนักมาอ้างว่า มีชาวบ้านถึง 88 เปอร์เซ็นต์ที่หนุนให้คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ถามว่าอย่างนี้จะเรียกโพลยกเมฆหรือโพลเชลียร์ได้ไหม เพราะการไม่บอกที่มาว่าเป็นสื่อไหนคนส่วนใหญ่ย่อมเกิดคำถามและมีผลต่อความน่าเชื่อถือ
อย่างที่รู้กันดีมีสื่อกระแสหลักบางสำนักกำหนดกลุ่มเป้าหมายของตัวเองไว้ชัดเจนคือ กลุ่มประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลสืบทอดอำนาจ โดยวางตัวเลขของฐานคนดูไว้ที่ 8 ล้านคน หากเป็นสื่อสำนักนี้ก็ต้องบอกว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยกเอาตัวอย่างที่เข้าข้างตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนี่เป็นคำตอบที่หวังผลทางการเมืองแบบเต็ม ๆ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีข้อกังขาว่า การทำโพลพ.ร.ก.ฉุกเฉินของกอ.รมน.เป็นการสำรวจความคิดเห็นหรือปฏิบัติการข่าวสารไอโอกันแน่
ความจริงแล้วเรื่องของพ.ร.ก.ฉุกเฉินในสถานการณ์ของโรคโควิด-19 หากมองในแง่ของประโยชน์แล้ว ไม่ได้มีอะไรมาก แค่การกระชับอำนาจในการสั่งการและบริหารจัดการของกระทรวงต่าง ๆ ให้มาอยู่ในมือของท่านผู้นำเท่านั้น รวมถึงการออกคำสั่งให้เชิงปฏิบัติให้เป็นไปในลักษณะเดียวกันทั้งประเทศ ทั้งที่ ความจริงแล้วตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ ก็ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดออกคำสั่งต่าง ๆ เพื่อการควบคุมโรคได้อยู่แล้ว
ดังนั้น คำถามจึงมีอยู่ว่าการควบคุมสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ได้ผลนั้น เกิดจากพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศกันแน่ คำตอบมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสอบถามความคิดเห็นจากใคร สิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังจากนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะยังใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือคงเคอร์ฟิวต่อไปหรือไม่ หากอยู่ที่มาตรการผ่อนปรนที่จะตามมาในเฟส 2 จะเป็นการเปิดช่องให้คนออกจากบ้านกันมากขึ้น ทำให้การเว้นระยะห่างทางสังคมถูกละเลยและเป็นบ่อเกิดของการแพร่ระบาดหรือไม่
หากมั่นใจว่ามาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการมานั้นเอาอยู่ และประชาชนให้ความร่วมมือกันอย่างดี ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิวอีกต่อไป เพราะสิ่งที่จะเดินไปพร้อมกับมาตรการผ่อนปรนก็คือการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน แม้จะไม่คึกคักหรือเต็มที่เหมือนภาวะปกติ แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้น แต่การมีกฎหมายดังว่ามากดทับไว้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เสียบรรยากาศหรือเกิดข้อจำกัดในการดำเนินกิจกรรม กิจการต่าง ๆ หรือไม่
หากจะยึดเอาข้อมูลทางวิชาการมาเป็นตัวตั้ง ความเห็นของ นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยคุณหมอยืนยันว่าขอประชาชนมั่นใจการผ่อนปรนเฟส 2 อาจมีผู้เดินทางข้ามจังหวัดกลับไปทำงาน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเวลานี้ประเทศไทยมีเพียง 9 จังหวัดเท่านั้นที่น่าห่วง เนื่องจากยังหลงเหลือผู้ติดเชื้อและมีร่องรอยว่าอาจจะมีการแพร่ระบาดได้อยู่ นั่นก็คือ กทม.และปริมณฑล ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี สงขลา ยะลา นราธิวาส และปัตตานี
ขณะที่จังหวัดอื่นนอกเหนือจากนี้เป็นพื้นที่ปลอดโรคแล้ว ข้อมูลทางการแพทย์และสาธารณสุขเช่นนี้ ก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมังต่อการตัดสินใจของท่านผู้นำว่าจะคงการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีกหรือไม่ ถ้าจะใช้อาจจะไม่จำเป็นต้องดำเนินการทั่วทั้งประเทศ เลือกบังคับเฉพาะบางจังหวัดหรือจะเป็น 9 จังหวัดดังว่านี้ก็ได้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ หากมองแค่ประเด็นของโควิด-19 เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม พอย้อนกลับไปดูถ้อยแถลงของท่านผู้นำต่อการแสดงความเห็นเรื่องการยิงเลเซอร์ที่มีการติดแฮชแท็ก “ตามหาความจริง” ตามสถานที่ซึ่งเกิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ปฏิกิริยาที่แสดงออกแม้ปากจะอ้างว่าไม่มีความเห็น แต่ก็ถอดรหัสได้ว่าไม่พอใจ และสั่งให้มีการดำเนินการอย่างเด็ดขาด โดยอ้างเรื่องความไม่เหมาะสมในจังหวะที่รัฐบาลกำลังต่อสู้กับโควิด-19 อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นคนละเรื่องกัน
ความจริงของเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากันตามกระบวนการของข้อกฎหมาย ซึ่งหากได้ติดตามข่าวสารกันมา ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยังมองไม่เห็นช่องทางที่เรื่องของ “คนสั่งฆ่า” ม็อบเสื้อแดงจะถูกนำตัวไปสู่กระบวนการเพื่อเอาผิดหรือรับโทษทัณฑ์ ทั้งที่หลายคดีของคนที่ถูกยิงเสียชีวิตนั้น ศาลตัดสินแล้วว่าเป็นการตายจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมด้วยเหตุผลขอคืนพื้นที่ ที่มีการตั้งคำถามว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
ยิ่งได้เห็นการแสดงท่าทีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่แถลงต่อการยิงแสงเลเซอร์ดังกล่าว ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันโอเว่อร์แอ๊กชั่นมากเกินไปหรือเปล่า หากทุกอย่างว่ากันตามความเป็นจริง ก็อธิบายกันด้วยข้อเท็จจริง สิ่งที่จะมีการไปตามหาความจริงกันนั้น ผ่านกระบวนการยุติธรรมกันอย่างไร ชี้แจงให้ชัด ไม่ใช่ขู่ที่จะเอาผิดกันอย่างเดียว ที่ไปไกลกว่านั้นคือมีลิ่วล้อของพรรคสืบทอดอำนาจประกาศลั่นจะนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล พรรคใหม่ของส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่กันเลยทีเดียว
การเดินเกมการเมืองในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแม้แต่น้อย อย่าลืมว่าทั้งตัวเอง พี่ใหญ่ พี่รอง ล้วนแต่เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการใช้กระสุนจริงยิงม็อบทั้งสิ้น ดังนั้น ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีปกติ ไม่ตอบโต้ ไม่ข่มขู่ สังคมย่อมตัดสินและเข้าใจได้เอง การที่ออกมาดิ้นและรีบตอบโต้ มันก็เหมือนการตบหน้าประจานตัวเอง เรื่องการฆ่าคนตายและยิ่งเป็นคนที่บริสุทธิ์ ไม่มีอาวุธใด ๆ ด้วยแล้ว ต่อให้กระบวนการยุติธรรมเอาผิดไม่ได้แต่กฎแห่งกรรมก็จะตามเล่นงานเอง
วันที่ยังมีอำนาจล้นฟ้าย่อมที่จะปิดสิ่งโสมมต่าง ๆ ที่ไม่อยากเปิดเผยได้ แต่เมื่อใดที่ไร้หัวโขนแล้วพึงระวังไว้ให้ดีว่าจะมีแต่ความชั่วร้ายไล่ตามทำให้อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข เหมือนนักการเมืองผู้หิวโหยทั้งหลายที่ตาโตกระโจนงับเหยื่อก่อนเลือกตั้งและระหว่างการต่อรองช่วงจัดตั้งรัฐบาล ผ่านพ้นมาถึงวันนี้ต่างรู้ดีว่าที่เคยคาดหวังไว้นั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ที่เคยกอบโกย สวาปามกันในอดีตมันไม่เหมือนเดิม เวลานี้มีเพียงขาใหญ่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่กินรวบกันพุงกาง