JMT ส่งซิกไตรมาส 2 โตต่อ วางงบซื้อหนี้ปีนี้ 4.5 พันลบ.

JMT ส่งซิกไตรมาส 2 โตต่อ วางงบซื้อหนี้ปีนี้ 4.5 พันลบ.


นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทำสถิติกำไร ไตรมาสสูงที่สุดของบริษัทอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 206.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.3 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 43.1 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 27.1 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มร้อยละ 3.9 ถือว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่อง

ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 764.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 38.4 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากเงินให้เสินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้จากธุรกิจซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร รวมอยู่ที่ 595.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 40.2 เนื่องจากความสำเร็จในการตัดมูลค่าเงินลงทุนในกองหนี้ด้อยคุณภาพครบตามจำนวน ทำให้มีกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้เพิ่มขึ้นเท่ากับ 144.5 ล้านบาท

นอกจากนี้ รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า จากธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้กับสถาบันการเงินอยู่ที่ 97.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 และมีรายได้จากการรับประกันภัย 71.4 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากธุรกิจประกันภัย ของ บริษัท เจพี ประกันภัย  จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จากการขยายพอร์ตประกันภัยที่เพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมา โดยประกันที่ขายเพิ่มส่วนใหญ่เป็นประเภท Non-motor ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทฯ วางไว้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เท่ากับ 815 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 15 จากไตรมาส 1/2562 และ ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 ที่ร้อยละ 5.2 ซึ่งโดยปกติไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่มีการจัดเก็บที่ดีที่สุด

สำหรับ แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ เดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จากภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ในระบบยังมีอยู่จำนวนมาก ด้านการจัดเก็บหนี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มองว่าผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีอยู่บ้าง แต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เชื่อจะเติบโตตามเป้าหมายในปีนี้ที่วางไว้

โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 JMT มีพอร์ตบริหารหนี้รวมประมาณ 180,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อนราว 6,000 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการซื้อหนี้เขามาบริหารได้เพิ่มขึ้น และจะทยอยเข้ามาสร้างรายได้และกำไรที่ดีต่อเนื่องในปี 2563  และมั่นใจวางงบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้สูงขึ้นอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท จะเป็นไปตามแผน ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจหนี้ด้อยคุณภาพภาคเอกชนรายใหญ่ของประเทศ

Back to top button