เศรษฐกิจใต้ความกลัว
ครม.ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภายใต้ข้ออ้างของ ศบค. ว่าเมื่อจะผ่อนปรนเฟส 3 ก็ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด การ์ดอย่าตก ๆ
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
ครม.ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภายใต้ข้ออ้างของ ศบค. ว่าเมื่อจะผ่อนปรนเฟส 3 ก็ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด การ์ดอย่าตก ๆ
พูดราวกับถ้าไม่ยอมให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็จะไม่ผ่อนปรนเฟส 3 ถ้าประชาชนอยากให้ผ่อน ก็ต้องยอมแลกกัน คล้ายกับยอมให้เปิดห้าง ต้องแลกด้วยสแกนไทยชนะ เข้าร้านสะดวกซื้อก็ต้องจดชื่อ ทั้งที่ก่อนนี้ไม่เคยจด
ยิ่งบอกว่าผ่อนคลาย ยิ่งเข้มงวดจุกจิกจู้จี้ขึ้นทุกที ยิ่งตัวเลขติดเชื้อลดลง ก็ยิ่งปลุกความกลัว “การ์ดอย่าตก ๆ ๆ ระวังระบาดรอบสอง ๆ ๆ” แล้วใครมันจะมีอารมณ์จับจ่ายใช้สอย
ร้านอาหารในห้าง ถึงเปิดให้นั่งได้ ยอดขายก็แย่อยู่ดี ลำพังคนตกงาน ไม่มีกำลังซื้อ ลำพังความกลัว ทำให้บางคนไม่กล้าเข้า ยังเจอมาตรการบ้าจี้ มาด้วยกัน ครอบครัวเดียวกัน ให้นั่งแยกคนละโต๊ะ
ก็เหมือนห้ามตั้งวงกินเหล้า ถ้าเป็นผับบาร์เข้าใจได้ แต่คนเช่าบ้านเช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน จะตั้งวงกินข้าวกินเหล้ากินน้ำมะตูม มันก็ติดได้หมด
โพล คนส. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการต่อท่ออำนาจฉุกเฉิน 87.6% ก็ชี้ว่า มาตรการไร้ประโยชน์ที่สุด 4 อันดับ ได้แก่ มาด้วยกันต้องนั่งแยกโต๊ะ, ห้ามเสนอข่าวทำให้ประชาชนตื่นตระหนก, เคอร์ฟิวห้าทุ่มถึงตีสี่ และลงทะเบียนไทยชนะ
พูดอย่างนี้ขอย้ำว่า ไม่ได้คัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพียงเพราะใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมือง เช่นห้ามรำลึก 6 ปีรัฐประหาร ห้ามชุมนุมคัดค้านโครงการของรัฐ เพราะถึงไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐก็จะขัดขวางอยู่ดี และโดยจังหวะสถานการณ์ ยังไม่มีม็อบล้มรัฐบาลหรอก
ปัญหาสำคัญกว่า คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและมาตรการจุกจิก คำขู่รายวัน มันทำให้ไม่สามารถผ่อนคลาย ไม่สามารถเปิดเศรษฐกิจได้จริง และจะยิ่งวิบัติกันหมด
เช่นเคอร์ฟิวห้าทุ่ม ทำให้ห้างบ่นอุบ ปิดสองทุ่ม คนเลิกงานยังไม่ทันจับจ่าย ร้านอาหารกลางคืน ก็เปิดได้แค่สามทุ่ม แท็กซี่ แม้มีช่วงทำเงิน คือคนเรียกไปส่งก่อนเคอร์ฟิว ก็ต้องคำนวณเวลากลับให้ทันไม่งั้นนอนโรงพัก
พอคนบ่นมาก ก็ขยายไปหกทุ่ม ทั้งที่ไม่มีประโยชน์เหมือนเดิม เดี๋ยวคงต่ออายุไปเรื่อย ๆ แต่ลดเวลาให้เรื่อย ๆ สุดท้าย เคอร์ฟิวชั่วโมงเดียวก็เอา พอเป็นสัญลักษณ์ว่าทหารตำรวจช่วยจับโควิด
การสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ทำเพื่ออะไรไม่ทราบ เพื่อต่ออำนาจฉุกเฉิน? งั้นหลังจากนี้ก็เลิกเถอะ ไม่ได้บอกให้ประมาท แต่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เจอคนป่วยหนัก ก็บอกว่าน่ากลัว วันนี้เจอคนติดเชื้อไม่มีอาการ ก็บอกว่ายิ่งน่ากลัว
แล้วจะมีชีวิตอย่างไรกัน ไม่ต้องทำมาหารับประทาน จนกว่าจะมีวัคซีน?
ทั้งรัฐทั้งหมอ ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ว่าเราต้องอยู่กับโควิด ถ้าเปิดเศรษฐกิจต้องพบคนติดเชื้อ วันละ 10-20-30 รายก็เป็นได้ แต่ระบบสาธารณสุขรับมือไหว อย่าให้เกิด Super spreader อีกเท่านั้น จึงอาจมีกิจการบางอย่าง เช่นผับบาร์ สนามมวย ที่ยังเปิดไม่ได้ แต่นอกจากนั้นก็ใช้ชีวิต New Normal ใส่หน้ากาก ล้างมือ ท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย ไปภูเขาไปทะเล กันได้เกือบเหมือนปกติ
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะรักษาตัวเลข 0-1-2-3 ตลอดไป มีอะไรนิดอะไรหน่อยก็วิตกอกสั่น กลัวระบาดรอบสอง บังคับให้คนทำตามมาตรการเปล่าประโยชน์ คนจำนวนมากก็เลยแอนตี้ เช่นให้จดชื่อจดเบอร์ ก็เขียนลายมือยึกยือ ให้เลขเหมือนใบ้หวย
ที่สำคัญ ทั้งรัฐทั้งหมอนั่นแหละ ต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อน ว่าถ้าใช้มาตรการแบบนี้ ปลุกความกลัวแบบนี้ เศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งพัง เอาไว้ตอนนั้น จะห้ามม็อบก็ห้ามไม่อยู่