“บล.เมย์แบงก์ฯ” จัดทัพ 16 หุ้นหลบภัย หลังมองผลงานบจ. Q2/63 อ่วมหนัก!
“บล.เมย์แบงก์ฯ” จัดทัพ 16 หุ้นหลบภัย หลังมองผลงานบจ. Q2/63 อ่วมหนัก!
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ถึงแม้ว่าในไตรมาสแรกของปี 2563 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี) จะลดลง 19% โดยเป็นผลกระทบจากโควิด-19 ในขณะที่เมื่อรวมบริษัททั้งตลาดแล้วพบว่ามีรายได้ลดลง 69% สาเหตุหลักเนื่องมาจากการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่เก็บไว้ (stock loss)
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า ไตรมาสที่ 2 จะแย่ลงอีก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งไตรมาส โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่รวมกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี คาดจะลดลง 50% ซึ่งจะทำให้รายได้รวมของทั้งตลาดในครึ่งปีแรกของปี 2563 จะน้อยกว่า 40% ของคาดการณ์รายได้ทั้งหมดในปี 2563
ทั้งนี้ ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มโรงแรม ที่แจ้งผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิติดลบ เช่น MINT, ERW, CENTEL ซึ่งในไตรมาสแรกนั้นยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยอยู่ราว 7 ล้านคน จึงจะทำให้การขาดทุนในไตรมาสที่ 2 นั้นยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นเมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศเลย นอกจากนั้นแล้ว หมวดพาณิชย์ เช่น CRC กับ CPN ยังได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เมย์แบงก์ฯ คาดว่ารายได้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะลดลงในไตรมาส 2/63 จากการตัดขายคอนโดในราคาที่ถูกลง ซึ่งในมุมมองโดยรวมแล้ว ถึงแม้ธุรกิจท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ในหมวดพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และส่งออกนั้นมีสภาพที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ด้านมุมมองของนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ฯ ด้านการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว คาดว่าการกลับมาจะเห็นได้ชัดเจนในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2564 เนื่องจากทางไทยยังคงมีความระมัดระวังในการผ่อนปรนเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 ขึ้น โดยประเทศที่น่าจะเห็นการกลับมาท่องเที่ยวในไทยก่อนคาดว่าจะเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อโควิด-19 ที่ต่ำ และคงที่ อย่างเช่น จีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ซึ่งการเดินทางเพื่อทำธุรกิจคาดว่าจะเปิดเป็นอันดับแรก และการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวคาดว่าจะเป็นสิ่งสุดท้าย จากการตรวจสอบข้อมูลการจองห้องพักผ่าน Airbnb และ Booking พบว่าประเทศไทยมีการจองที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับอเมริกา และจีน
อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลเริ่มมีการผ่อนปรนที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้การท่องเทียวในประเทศเริ่มฟื้นตัว และจะส่งผลดีกับโรงแรม และธุรกิจ SME ในประเทศ โดยในบางโรงแรมเริ่มมีรายการจองห้องพักเข้ามาแล้ว
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวสูงขึ้นจนมี Valuation ที่สูงนั้นคาดว่ามาจากมาตรการจำกัด Short Sell ของ ตลท. และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์จากการหั่นดอกเบี้ยนโยบายของธปท. จึงทำให้ตลาดทุนเป็นที่น่าสนใจมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ นอกจากนั้นแล้ว นักวิเคราะห์เมย์แบงก์ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีบริษัทคุณภาพสูงอยู่มาก ในขณะที่บางบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง ทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน เช่น PTT, PTTEP PTTGC, SPRC, CPF, GFPT, CBG, SABINA, LH, QH, SPALI and DIF, TFFIF สำหรับกองทุน
ทางด้านการลงทุนต่อจากนี้ ทางนักวิเคราะห์ของเมย์แบงก์ให้คำแนะนำดังนี้
- กลุ่มที่น่าลงทุนในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2563 ได้แก่
1.1 พลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดแตะ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังไม่มีการปิดซ่อมบำรุง แนะนำ TOP, SPRC, PTTEP
1.2 อาหารและเครื่องดื่ม แนะนำ CPF, GFPT, OSP, CBG
1.3 การแพทย์-สุขภาพ จากอัตราผู้ป่วยในประเทษยังคงอยู่ในระดับที่ดี ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาจากการท่องเที่ยวจะลดลงก็ตาม ซึ่งโรงพยาบาลระดับเล็กจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า แนะนำ CHG, BCH
1.4 พาณิชย์ ค้าปลีก มีการดำเนินงานที่ดี แนะนำ MAKRO, HMPRO, GLOBAL
- กลุ่มที่น่าลงทุนหลังไตรมาส 3/63 ถึงปี 2564
2.1 เงินทุนและหลักทรัพย์ คาดคนจะหันมากู้ยืมมากขึ้น เช่นสินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัยเนื่องจากรายได้ของผู้กู้ที่ได้รับมีจำกัดในภาวะเช่นนี้
2.2 ชิ้นส่วน อะไหล่ยนต์ โรงงานเริ่มกลับมาเปิดการผลิตอีกครั้ง คาดว่ารายได้หลังไตรมาส 3 เป็นต้นไปจะ Outperform
2.3 วัสดุก่อสร้าง คาดว่าโปรเจค Infrastructure จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิด-19เริ่มซาลง และการก่อสร้างต่างๆ จะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
2.4 กลุ่มค้าปลีก และท่องเที่ยว ที่มีธุรกิจเป็นเอกลักษณ์ คาดว่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวหลังโควิด-19เริ่มซาลง
- หุ้นแนะนำขณะนี้ ได้แก่
3.1 SCC
3.2 SAWAD
3.3 AOT
3.4 CPALL