เงินท่วมตลาดหุ้น
วานนี้มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยมีจำนวน 77,422 ล้านบาท
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
วานนี้มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยมีจำนวน 77,422 ล้านบาท
ตัวเลขนี้หากเทียบกับ 4 วัน (ทำการ) ก่อนหน้านี้
อาจจะดูไม่มากนัก
เพราะ 4 วันที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายต่อวันมากกว่า 1 แสนล้านบาททุกวัน
และนับเป็นครั้งแรกนับจากตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 30 เมษายน 2518 ที่มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 1 แสนล้านบาทเป็นเวลา 4 วัน (ทำการ) ติดต่อกัน
เริ่มจาก 4 มิ.ย. 63 มูลค่าการซื้อขาย 122,562 ล้านบาท
5 มิ.ย. 63 มูลค่าการซื้อขาย 120,331 ล้านบาท
8 มิ.ย. 63 มูลค่าการซื้อขาย 105,398 ล้านบาท
และ 9 มิ.ย. 63 มูลค่าการซื้อขาย 115,559 ล้านบาท
ส่วนมูลค่าการซื้อขายเมื่อวานนี้ที่ร่วงลงไปต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
น่าจะมีปัจจัยมาจากนักลงทุนเฝ้ารอการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดว่า จะมีปฏิกิริยาอย่างไรในการประชุมเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.)
ในประเด็นเรื่องดอกเบี้ยนโยบายนั้น
บรรดานักวิเคราะห์ต่างฟันธงว่า ไม่น่าจะมีการขยับอะไร
เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.00%-0.25%
ทว่า สิ่งที่นักลงทุนเฝ้ารอคือ “รายงานสรุปคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ” หรือ SEP ที่มีเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การว่างงาน และอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ตัวเลขที่ว่านี้ เดิมนั้น เฟดจะต้องเปิดเผยตั้งแต่เดือน มี.ค. 63
แต่กลับเผชิญการแพร่ระบาดโควิด-19
ทำให้เจ้าหน้าที่เฟดไม่สามารถคาดการณ์เศรษฐกิจออกมาได้
ผ่านมาถึงวันนี้ ตอนนี้
นักลงทุนน่าจะรับทราบการประกาศตัวเลขทั้งหมดแล้วล่ะ
และน่าจะทำให้ปัจจัยที่จะนำมาใช้ตัดสินใจต่อการลงทุนชัดเจนขึ้น
ส่วนมูลค่าการซื้อขายจะกลับมาเกินกว่าระดับ 1 แสนล้านบาทต่ออีกหรือไม่ ต้องมาลุ้นกันต่อ
มูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และต่อเนื่อง
นั่นทำให้จากต้นเดือนเม.ย. 63–10 มิ.ย. 63 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันน่าจะอยู่ราว ๆ 7.06 หมื่นล้านบาท
ถือว่าค่อนข้างสูงพอสมควร
มูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากสาเหตุสำคัญ คือ โยกเงินออกจากตลาดเงิน เข้ามาลงทุนยังสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นกันมากขึ้น
สาเหตุเพราะดอกเบี้ยเงินฝากที่ลงมาต่ำมาก
ส่วนตลาดตราสารหนี้เองกำลังเผชิญกับความผันผวน และมีความเสี่ยงเช่นกันในช่วงเศรษฐกิจเช่นปัจจุบัน
เมื่อดีดลูกคิดคำนวณดูแล้ว
การลงทุนในตลาดหุ้น น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทำให้เกิดการเล็งกลุ่มหุ้นที่ราคายังแลกการ์ด หรือมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ก่อน
ส่วนเงินที่ถูกโยกออกมายังตลาดหุ้น
ก็มีมาจากทั้งนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนนักลงทุนสถาบัน ก็น่าจะมีการปรับพอร์ต โยกเงินเข้ามาลงทุนเช่นกัน ในกลุ่มหุ้นที่ราคายังแลกการ์ด
โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
นี่หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีก 0.25%
น่าจะเห็นเม็ดเงินถูกโยกออกมาจากตลาดเงินอีกพอสมควร
พร้อมกับให้รอดูตัวเลขการเปิดพอร์ตของรายย่อย (นักลงทุนหน้าใหม่) ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.)
เพราะมีข่าวว่า เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเลยล่ะ