พาราสาวะถี
เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายจริง ๆ สำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเผด็จการ แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาแล้วและตัวเองจะต้องเปลี่ยนหัวโขนเพื่อสร้างการยอมรับให้กับประชาชนในประเทศ รวมทั้งเป็นที่น่าเชื่อถือของต่างประเทศว่า ไทยมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคงถนัดกับการขู่ฟ่อ ๆ ต่อบุคคลหรือกลุ่มคนที่ตัวเองรู้สึกไม่พอใจต่อการแสดงออก และทำให้เห็นว่าจะเป็นอุปสรรค สร้างปัญหาต่อการทำงานของตัวเองและคณะ
อรชุน
เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายจริง ๆ สำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเผด็จการ แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาแล้วและตัวเองจะต้องเปลี่ยนหัวโขนเพื่อสร้างการยอมรับให้กับประชาชนในประเทศ รวมทั้งเป็นที่น่าเชื่อถือของต่างประเทศว่า ไทยมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคงถนัดกับการขู่ฟ่อ ๆ ต่อบุคคลหรือกลุ่มคนที่ตัวเองรู้สึกไม่พอใจต่อการแสดงออก และทำให้เห็นว่าจะเป็นอุปสรรค สร้างปัญหาต่อการทำงานของตัวเองและคณะ
ล่าสุด เป็นเรื่องของการยกเลิกเคอร์ฟิว ที่พบว่าคืนแรกก็พบมีเด็กแว้นออกอาละวาด ประลองความเร็ว ท้าทายเจ้าหน้าที่กันทันที แทนที่ท่านผู้นำจะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย และเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องไปดำเนินการตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก แต่กลับสวมบทบาทที่ถนัด ขู่กลับทันทีทันใด หากปล่อยให้มีอิสระเสรีกันแล้วเป็นแบบนี้ จะประกาศเคอร์ฟิวอีก ไม่ได้สร้างความหวาดวิตกใด ๆ กับคนทั่วไป แต่รู้สึกสงสารคนที่เป็นผู้นำประเทศคิดได้เท่านี้เองหรือ
หากมองกันด้วยเหตุด้วยผล ประเด็นนี้เป็นเรื่องขี้หมา อย่าให้เสียงานใหญ่ ในเมื่อเลิกเคอร์ฟิวเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้า โดยเฉพาะกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ ก็มองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไปเสีย แล้วพูดถึงภาพรวม เมื่อประชาชนทุกคนให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ผลของการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย จึงเป็นไปในทิศทางที่น่าพอใจ ดังนั้น จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันแบบนี้ต่อไป ส่วนคนส่วนน้อยที่สร้างปัญหาก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ
ท่วงทำนองแค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้ เข้าใจได้ว่ามันเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกมาทั้งชีวิตกับการสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซ้ายหันขวาหัน นี่คือประเทศไม่ใช่ค่ายทหารหรือกองทัพ นี่คือประชาชนคนไทยไม่ใช่พลทหารหรือลูกน้องในคาถาที่ชี้นิ้วให้ทุกคนต้องเดินตามที่ตัวเองต้องการได้ น่าเสียดายที่ตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีมานั้น เรียกคนจำนวนไม่น้อยไปปรับทัศนคติ แต่ตัวผู้นำเองกลับมีทัศนคติที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนี้แล้ว ที่ป่าวประกาศว่าจะนำพาบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
พูดถึงกันเป็นอย่างมากว่าหลังเริ่มการผ่อนปรนระยะที่ 4 ไปแล้ว รัฐบาลก็เริ่มฝันหวานคิดถึงหนทางในการที่จะนำเม็ดเงินเข้าประเทศ เพื่อหวังชดเชยรายได้ที่สูญหายไป ทั้งที่เงินกู้ 4 แสนล้านเพื่อการฟื้นฟูหลังโควิด-19 ประชาชนยังไม่เห็นภาพว่าจะทำอะไร อย่างไรกันบ้าง แต่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็เร่งจะเสนอแผนการท่องเที่ยวโดยจะเป็นในลักษณะจับคู่ประเทศท่องเที่ยวหรือทราเวล บับเบิล ท่ามกลางความกังขาของคนส่วนใหญ่ว่า มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ
ถูกต้องแล้วที่ นายแพทย์ทวีศิปล์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.จะรีบออกมาแก้ข่าวยืนยันข้อมูลว่า มีข้อห่วง ข้อกังวลอย่างที่ว่ากันจำนวนมาก เพราะตอนนี้เชื้อโรคกระจายอยู่ทั่วโลกแล้ว ถึงแม้ว่าบ้านเราตัวเลขจะเป็นศูนย์ ซึ่งถ้าย้อนกลับไป 5 เดือนที่ผ่านมาตัวเลขน้อยมาก สหรัฐอเมริกาตัวเลขยังไม่ถึงขนาดนี้ มีแค่จีนก็ยังทำให้คนไทยติดเชื้อกัน 3 พันกว่าราย แต่ตอนนี้ตัวเลขต่อวันติดกันกว่าแสนรายทั่วโลก เพราะฉะนั้นเป็นความเสี่ยงของประเทศไทยที่สูงมาก
คำถามก็คือแล้วจะทำอย่างไร โฆษกศบค.บอกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการชั่งน้ำหนักกันอยู่หลายทาง ระหว่างการเปิดประเทศเพื่อให้เกิดทราเวล บับเบิล กับบางประเทศ แต่การเป็นอย่างทุกวันนี้คือแง้ม ๆ คือเราให้คนไทยเดินทางในปริมาณที่จำกัดได้ คนต่างชาติเดินทางเข้ามาในปริมาณที่จำกัดได้ แบบไหนจะดีกว่ากัน และแบบไหนที่จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ กับโจทย์ที่ว่า 1 คนมาหลายพันคนจะติด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องชั่งน้ำหนักบาลานซ์กันให้ดี
ส่วนโจทย์ที่ว่า แล้วคนภายในประเทศท่องเที่ยวกันจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่งหรือไม่ แทบจะไม่ต้องวิเคราะห์หาคำตอบให้ยุ่งยาก เพราะความสำคัญมันอยู่ที่ว่า กำลังซื้อหรือกำลังในการที่จะจับจ่ายใช้สอยที่จะเกิดขึ้นนั้น มันเป็นเรื่องของคนหมู่มากหรือคนส่วนน้อย ในภาวะที่เห็นกันอย่างชัดเจนว่าโควิด-19 นั้นได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปทุกหย่อมหญ้า ดังนั้น เวลานี้จึงเป็นช่วงของการฟื้นฟู เยียวยา ทำให้ทุกคนแข็งแรง มีกำลังใจก่อนที่จะคิดไปชวนให้ท่องเที่ยวดีกว่าไหม
วันนี้เป็นหน้าที่ของท่านผู้นำที่จะต้องให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้นำเสนอชุดนโยบายเรียกความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้ได้ หรือว่าถ้าไม่ใช้ชุดที่มีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนก็ต้องรีบดำเนินการแล้วก็เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนชุดความคิดและปฏิบัติการฟื้นฟูความเสียหายจากไวรัสร้ายนี้โดยเร็ว บางเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องพูดหรือแสดงความเห็นในช่วงนี้ก็ควรจะละเว้นไปบ้างก็ได้ เช่นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ วิษณุ เครืองาม โยนหินถามทางก่อนจะถูกกระถางโยนกลับโครมเบ้อเริ่ม
ว่าด้วยรัฐบาลไร้งบประมาณจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วยเหตุผลง่าย ๆ แต่ระดับเนติบริกรชั้นครูแล้วคงไม่โง่ เงินถูกนำไปใช้แก้ไขโควิด-19 หมดแล้ว หากเป็นก่อนหน้านั้นคนอาจจะแห่แหนสนับสนุน แต่พอสถานการณ์มันมาถึงเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าการไม่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกของประชาชนมาเป็นเวลานาน การประสานงานหรือการตัดสินใจแก้ปัญหาโดยการพิจารณาและตัดสินใจร่วมของคนในท้องที่ก็หดหายไป รอให้รัฐราชการเข้ามาดูแลก็ไม่ทันการณ์
ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ยินท่านผู้นำให้สัมภาษณ์ย้ำหนักแน่นว่า จะต้องจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นให้เกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยที่จะต้องไปคิดหาวิธีการรวมถึงงบประมาณมาดำเนินการให้ได้ อย่ามาตีเนียนอาศัยจังหวะชุลมุนเพื่อที่จะไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะความจริงควรจะต้องจัดการมาตั้งนานแล้ว แต่ฝ่ายกุมอำนาจเองที่เงื้อง่าราคาแพง เรื่องข้อกฎหมายนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่เมื่อพร้อมแล้ว ไม่ต้องต่อว่ารอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมก่อน ถามว่าจะมีหน่วยงานไหนกล้าขัดความต้องการของฝ่ายกุมอำนาจหรือไม่
ไม่เว้นแม้แต่องค์กรอิสระอย่างกกต.เอง เพราะทำตัวเป็นลูกไล่รัฐบาลมาโดยตลอดนับตั้งแต่การเลือกตั้งส.ส.แล้ว ดังนั้น กรณีเลือกตั้งท้องถิ่นหากจะไม่เกิดขึ้นมีแค่กรณีเดียวเท่านั้นคือ ฝ่ายกุมอำนาจกลัวพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แล้วเกรงว่าจะเป็นการติดปีกให้กับผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านเลือกตั้งมา ถ้าตัวเองไม่ได้เปรียบในสนามนี้ย่อมหมายถึงว่า การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไปก็มองเห็นชะตากรรมของพรรคสืบทอดอำนาจว่าจะออกมาในรูปใด นี่ไงไหนว่าไม่เล่นการเมือง เขี้ยวลากดินเสียละไม่ว่า