ด่วน! “กนง.” มติเอกฉันท์ คงดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด-หั่นคาดการณ์ GDP ปี 63 เหลือ -8.1%
ด่วน! “กนง.” มติเอกฉันท์ คงดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด พร้อมหั่นเป้าส่งออกทั้งปี ติดลบ 10.3% - GDP -8.1% หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 40
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 มิ.ย.63) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยล่าสุด ที่ประชุม กนง. มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 63 เหลือ -8.1% จากเดิมที่การณ์ไว้อยู่ที่คาด -5.3% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวกว่าที่ประมาณการไว้เดิม เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงกว่าที่คาดไว้
พร้อมกันนี้ได้ปรับลดคาดการณ์การส่งออกไทยในปีนี้ลงเหลือ -10.3% จากเดิมคาด -8.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ คาดว่าจะหดตัวอยู่ที่ -1.7% จากเดิมคาด -1.0% โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปี 64
อย่างไรก็ดี กนง.ประเมินว่าในปี 64 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ 5% จากเดิมที่คาดไว้ 3% ส่วนการส่งออก ขยายตัวได้ 4.5% การนำเข้า ขยายตัว 4.1% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยายตัว 0.9% การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 2.5% การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 5.6% การอุปโภคภาครัฐ ขยายตัว 3.1% การลงทุนภาครัฐ ขยายตัว 14.1% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 20.2 พันล้านดอลลาร์ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ อยู่ที่ 16.2 ล้านคน
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ กนง. ระบุว่า ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวกว่าประมาณการเดิม เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงกว่าที่คาดไว้ และรัฐบาลหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ต้องดำเนินมาตรการควบคุมการระบาด ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหดตัวกว่าที่ประเมินไว้ รวมถึงการจ้างงานและรายได้มีแนวโน้มลดลง
โดยคาดว่าในปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยเพียง 8 ล้านคนเท่านั้น ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 15 ล้านคน ส่วนการบริโภคภาคเอกชน คาดว่า -3.6% จากคาดการณ์เดิมที่ -1.5% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน -13.0% จากคาดการณ์เดิมที่ -4.3% โดยมีเพียงการลงทุนภาครัฐเท่านั้นที่คาดว่าจะขยายตัวเป็นบวกที่ 5.8% เท่ากับคาดการณ์เดิม ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 15.5 พันล้านดอลลาร์ จากคาดการณ์เดิมที่ 19.4 พันล้านดอลลาร์
นายทิตนันทิ์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบลึกสุดในไตรมาส 2/63 เพราะผลจากโควิด-19 กระทบทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้ในช่วงดังกล่าวเศรษฐกิจติดลบมาก และช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวแบบติดลบน้อยลงเรื่อย ๆ ก่อนจะกลับมาเป็นบวกในปี 64 ส่วนจะฟื้นตัวอย่างไรนั้นต้องขึ้นอยู่กับอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการการคลังที่ตรงจุดและทันการณ์ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย รวมถึงมาตรการด้านสินเชื่อและการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยังจำเป็นต่อการสนับสนุนการจ้างงานและธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าจะต้องมีนโยบายด้านอุปทานเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงด้วย
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2563 มีแนวโน้มติดลบมากกว่าคาด ตามราคาพลังงานที่ลดลงแรงตามอุปสงค์ที่ลดลงจากการชะลอของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปี 2564 ตามราคาน้ำมันดิบที่จะทยอยปรับสูงขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ด้านภาวะการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับลดลงหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน และพันธบัตรรัฐบาลยังอยู่ในระดับสูง ด้านสินเชื่อขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเตรียมสภาพคล่องรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และเพื่อทดแทนการออกตราสารหนี้ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคชะลอลง สภาพคล่องโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นว่าต้องดูแลให้กระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น
นายทิตนันทิ์ กล่าวว่า ในด้านอัตราแลกเปลี่ยน พบว่าช่วงที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักและเงินสกุลภูมิภาค ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ กังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม
ระบบการเงินมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่ในระยะข้างหน้าต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 2 และเร่งดำเนินการให้ธนาคารพาณิชย์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ธุรกิจ รวมถึงเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้า
“มองไปข้างหน้า คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการการคลังและมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น” เลขานุการ กนง.ระบุ
ด้านนายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะลดลงเหลือ -8.1% นั้น ถือว่าเป็น GDP ที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงที่ไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 40 พบว่า GDP อยู่ที่ -7.6%