หมูไม่กลัวน้ำร้อนพลวัตปี 2015

นักกลยุทธ์ของค่ายเจพี มอร์แกน เชส ในนิวยอร์ก งัดเอาสถิติมาอ้างอิงเพื่อที่จะสรุปว่า การวิ่งขึ้นของค่าดอลลาร์ในยามนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา และจะวิ่งไปเรื่อยประมาณ 9% จนกว่าเฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยจริงเสียที จากนั้นดอลลาร์จะวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งจนถึงจุดสูงสุดในช่วงที่ตลาดเริ่มหายตื่นตระหนก แล้วภายใน 6 เดือนหลังการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ค่าดอลลาร์จะตกลงมาประมาณ 6% เสมอ เป็นไปตามสูตรเก็งกำไรคือ "ขึ้นตามข่าวลือ ลงหลังข่าวจริง"


วิษณุ โชลิตกุล

 

นักกลยุทธ์ของค่ายเจพี มอร์แกน เชส ในนิวยอร์ก  งัดเอาสถิติมาอ้างอิงเพื่อที่จะสรุปว่า การวิ่งขึ้นของค่าดอลลาร์ในยามนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา และจะวิ่งไปเรื่อยประมาณ 9% จนกว่าเฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยจริงเสียที จากนั้นดอลลาร์จะวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งจนถึงจุดสูงสุดในช่วงที่ตลาดเริ่มหายตื่นตระหนก แล้วภายใน 6 เดือนหลังการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ค่าดอลลาร์จะตกลงมาประมาณ 6% เสมอ เป็นไปตามสูตรเก็งกำไรคือ “ขึ้นตามข่าวลือ ลงหลังข่าวจริง”

บทสรุปดังกล่าว พูดถึงกรณีเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว ไม่เกี่ยวกับกรณีการขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกันในเวลาสั้นๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือข้อสรุป

ปริศนาที่เกิดหลังข้อสรุป จึงเข้าข่ายที่เรียกว่า “กับดักของพลาโต้” นั่นคือ เอาสถิติในอดีต มากำหนดการพยากรณ์อนาคต ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้วว่าใช้การไม่ได้ นับแต่วงการกีฬา จนถึงการเมือง และตลาด

ข้อสรุปของนักกลยุทธ์ เจพี มอร์แกน เชส มีลักษณะอธิบายเรื่องที่ “รู้ทั้งรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้ ” เนื่องจากอนาคตไม่สามารถควบคุมได้ จำต้องเดินหน้าต่อไป และแสดงพฤติกรรมคล้ายคลึงกับนิทานเรื่องคนตาบอดคลำช้างนั่นเอง

ตลาดเก็งกำไรทุกตลาดยามนี้ มีทางเลือกให้นักลงทุน 2 ทางเท่านั้นเองคือ ถอนตัวออกไป หรือไม่ก็ต้องเลือกใช้ยุทธศาสตร์การลงทุนแบบที่เรียกกันว่า หมูไม่กลัวน้ำร้อน

คำนี้เดิมคือ หมูตายย่อมไม่กลัวน้ำร้อน ใช้สำหรับคนที่ต่อสู้โดยไม่มีต้นทุนอะไร เนื่องจากใช้ต้นทุนจนหมดหรือติดลบไปแล้ว ต่อสู้ไปไม่มีอะไรจะเสียอีก แต่ถ้าได้คืนมาบ้างก็เป็นความได้เปรียบแล้ว

ปัจจุบันคำนี้ถูกลดทอนความหมายลง เพราะไม่ได้หมายถึงหมูตายอย่างเดียวอีกแล้ว หากหมูเป็นก็เช่นกัน ใช้ในกรณีของคนที่เสียเปรียบหรือตกเป็นเบี้ยล่าง ต่อสู้แล้วแพ้ ก็เสมอตัว ถ้าเสมอหรือชนะก็ถือว่ามีกำไรและดีเกินคาด 

ตัวอย่างที่ชัดเจน นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งถูกกระหน่ำโดยบรรยากาศตลาดหุ้นให้จำต้องเล่นหุ้นขาลง ซึ่งมีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร แต่ก็ยังมีการซื้อสู้เป็นระยะๆ ทั้งที่แนวโน้มทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และเศรษฐกิจไทย เป็นขาลงชัดเจน 

บางคนให้คำอธิบายว่า หากใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ ฉลาดซื้อ หรือ selective buy ในหุ้นที่ผลประกอบการเหนือตลาด แม้ว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะมีขีดจำกัด แต่ก็สามารถลดความเสี่ยงลงได้เพราะสูตรพื้นฐานของวีไอหรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ต้องมองระยะยาว โอกาสซื้อช่วงตลาดขาลงจะได้ของถูก ขอเพียงอดทนกันระยะหนึ่ง

บางคนมองอีกอย่างว่า ในยามเศรษฐกิจขาลง โอกาสที่บริษัทจดทะเบียนที่พื้นฐานผลประกอบการขาดทุนจนย่ำแย่ จะถูกซื้อกิจการ เกิดได้ง่ายมากเพราะมีต้นทุนต่ำ เช่นกันบริษัทจดทะเบียนที่มีกิจการดี และมีเงินสดดีเพียงพอ ต้องการเติบโตทางลัดด้วยการควบรวมหรือซื้อกิจการ ก็สามารถทำได้ง่าย ทำให้วิศวกรรมการเงินจากธุรกรรมM&A สร้างมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ดีโดยไม่ต้องใส่ใจกับดัชนีตลาด 

คนที่เลือกแนวทางนี้ถือคติประจำตัวในการลงทุนว่า ตราบใดที่หุ้นมีสตอรี่ใช้ลากราคาแล้ว

อาจจะทำให้เกิดการจินตนาการรายได้ และกำไรสุทธิต่อหุ้นในงบกำไรขาดทุน ว่าจะออกมาเป็นบวก ก็ไม่ต้องห่วงใดๆ

บางคนไปไกลกว่านั้นถือคติ “ชาวสวน” อ้างคติของนาธาน ร็อธไชด์ที่ว่าซื้อเมื่อเลือดนองถนน ขายเมื่อสงครามสงบ เอามาเป็นกลยุทธ์ส่วนตัว

ร้ายกว่านั้น หลายคนที่มีพอร์ตใหญ่ปานกลาง มองว่าการเทรดบ่อย แม้จะขาดทุนบ้าง ก็ยังมีรางวัลปลอบใจที่สามารถเรียกกำไรกลับคืนได้ง่าย เพราะมาร์เก็ตติ้งจะแบ่งปันหุ้นจองมาให้เรื่อยๆ 

เหตุผลเหล่านี้ ทำให้ตลาดหุ้นยังคงรักษามูลค่าซื้อขายประจำวันพื้นฐานเอาไว้ได้ในยามตลาดขาลงที่ระดับวันละ30,000ล้านบาทเอาไว้ได้ เพราะยังมีนักลงทุนขาประจำที่ยอมรับความเสี่ยงกับการซื้อขายในตลาดแบบนี้ได้ไม่ถูกเล่นงานด้วยโรคปอดลอย อาจจะด้วยความกล้า หรือมีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่พลาด  เหมาะสำหรับกลยุทธ์ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน”

ในทางปฏิบัตินักลงทุนที่เป็นสถาบันหรือพอร์ตโบรกเกอร์หรือรายย่อยขาใหญ่ ที่เลือกใช้กลยุทธ์แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน เกิดจากหน้าตักและประสบการณ์ที่เพียงพอในการรับมือตลาดขาลงได้ดี ทำให้สงบนิ่งเพียงพอกับการบริหารพอร์ตลงทุน ในช่วงเวลาที่ต้องยอมรับกันว่าไม่ใช่ช่วงที่ทำกันได้ง่ายๆ

หุ้นบางตัวราคาต่ำกว่าบุ๊คแวลูหรือค่าพี/บีวี ต่ำกว่า 1 เช่นหุ้น PTTEP แสดงว่าราคาต่ำกว่าพื้นฐานเกินสมเหตุสมผล

หุ้นบางตัวเช่น AUCT  ราคาร่วงมากกว่า 50% ทั้งที่ผลกำไรไตรมาสแรกโดดเด่นและไตรมาสสองเสมอตัว รวมครึ่งปีกำไรโตกว่าปีก่อน 30% แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติภายในบริษัท ซึ่งเมื่อใดพบความผิดปกติราคาจะกลับมาแรงมาก

บางตัวเลวร้ายหนักเช่นหุ้น CPF ราคาต่ำสุดในรอบหลายปีทั้งที่มีกำไรตลอดมาไม่เคยขาดทุนเลย เพียงแต่ปีหลังๆ นี่อัตรากำไรสุทธิต่ำลงต่อเนื่อง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต่ำลงไปอีก

โดยข้อเท็จจริงตลาดขาขึ้นมีแนวโน้มที่ค่าพี/อีของหุ้นรายตัวสูงกว่าปกติ แต่ในช่วงตลาดขาลงถือเป็นโอกาสที่ค่าพี/อีจะต่ำมากเพียงพอเพียงแต่ความเสี่ยงของการเข้าซื้อในช่วงขาลงอยู่ที่ว่าไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าราคาที่ดูต่ำสุดแล้วนั้นจะมีราคาต่ำกว่าหรือไม่

ประสบการณ์ของนักลงทุนที่ช่ำชองระบุว่าการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ย เป็นความปลอดภัยมากสุด แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะทำให้ขาดทุนจากส่วนต่างราคาแต่ในระยะยาวจะต้องกลับมาดีขึ้นและเปิดช่องกำไรได้

กลยุทธ์หมูไม่กลัวน้ำร้อนด้านหนึ่งทำให้เกิดสติในหมู่นักลงทุนทำให้เกิดแรงเพียรค้นหาอัญมณีในกองกรวด ซึ่งช่วยสร้างโอกาสในวิกฤตขึ้นได้ แต่ที่ควรจดจำเอาไว้คือมันไม่ได้เป็นการันตีว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะการลงทุนในภาวะตลาดขาลงมีความเสียงมากกว่าปกติ

ความเสี่ยงมากเท่าใด ผลตอบแทนย่อมมากตามไปด้วย

Back to top button