หุ้นที่ควรเลี่ยง
หุ้นธนาคารกลายเป็นหุ้นที่มีความไม่แน่นอนเข้ามาแทรก ยังผลให้ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยทำท่าจะเปลี่ยนทิศเป็น “ซึมยาวขาลง” หรือไซด์เวย์ดาวน์กะทันหัน ด้วยฝีมือของแบงก์ชาติ หรือ ธปท. ที่ออกคำสั่งพิสดารในนามของ “คุณพ่อผู้หวังดี”
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
หุ้นธนาคารกลายเป็นหุ้นที่มีความไม่แน่นอนเข้ามาแทรก ยังผลให้ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยทำท่าจะเปลี่ยนทิศเป็น “ซึมยาวขาลง” หรือไซด์เวย์ดาวน์กะทันหัน ด้วยฝีมือของแบงก์ชาติ หรือ ธปท. ที่ออกคำสั่งพิสดารในนามของ “คุณพ่อผู้หวังดี”
ผลลัพธ์คือตั้งแต่นี้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม โอกาสที่จะเห็นดัชนี SET ทะยานฝ่าแนวต้านขึ้นไปยืนเหนือ 1,400 จุด ต้องการปาฏิหาริย์เท่านั้น นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ถึงแบงก์พาณิชย์วันศุกร์ที่แล้ว โดยอ้างถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ในระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงให้ ธพ.จัดทำแผนบริหารจัดการ “ระดับเงินกองทุน” สำหรับ 1–3 ปีข้างหน้า
ในระหว่างการจัดทำแผนงานดังกล่าว แทรกด้วยคำสั่งระยะสั้น ให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในไทยงดจ่ายปันผลปีนี้ รวมถึงห้ามซื้อหุ้นคืน โดยอ้างว่าเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์จะรักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและรองรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวทางที่ธนาคารกลางหลายประเทศได้ดำเนินการแล้ว
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีนอกเหนือจากการที่นักลงทุนพากันเทขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในตลาดจนกระทั่งดัชนีไปต่อไม่เป็น มีสองกระแสคือมุมมองแบบ “โลกสวย” และมุมมองแบบทฤษฎีสมคบคิด
มุมมองแรก เช่นเดียวกันกับมุมมองของพวกที่มองเห็นว่าผู้บริหารธปท.ฉลาดล้ำเลิศสามารถใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับฐานเงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ โดยยินดีแลกกับความเสียหายที่นักลงทุนต้อง “จ่ายในระยะสั้น” เพื่อผลดีในระยะยาว
คำกล่าวอ้างว่า “ที่ไหนก็ทำกัน” โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงถึงสถาบันการเงินหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ขอให้งดซื้อหุ้นคืน งดจ่ายเงินปันผลประจำปีจากผลประกอบการของปีที่แล้ว สหภาพยุโรปและนิวซีแลนด์ขอให้งดซื้อหุ้นคืนและงดจ่ายเงินปันผลระยะหนึ่งเพื่อรอความชัดเจนของสถานการณ์โควิด 19 ออสเตรเลียขอให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำ stress test (การทดสอบภาวะวิกฤต) ใหม่ภายใต้ความไม่แน่นอนเพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผล
คำอ้างว่าการงดจ่าย “เงินปันผลระหว่างกาล” และ “งดซื้อหุ้นคืน” จะกระทบต่อผู้ถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ช่วงสั้น ๆ แต่จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาว คือคำอ้างปกติของการ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เพราะการอดได้รับปันผลระยะสั้นอาจจะได้ปันผลงวดสิ้นปีมากกว่าเดิม
ข้ออ้างแบบโลกสวยของธปท.ไม่ใช่การการันตีแต่อย่างใดว่าจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่งดจ่ายปันผลงวดกลางปีได้รับเงินปันผลงวดสิ้นปีมากกว่าหรือเท่ากับเดิม และไม่พยายามบอกกล่าวข้อเท็จจริงว่ามีธนาคารพาณิชย์รายไหนบ้างที่อาจจะเข้าข่ายมีเงินกองทุนไม่เพียงพอ
จากข้อมูลที่มีอยู่ล่าสุด พบว่าปัจจุบันธนาคารพาณิชย์โดยรวม มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) อยู่ที่ 18.4% (15.2% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1) ซึ่งสูงกว่าความต้องการขั้นต่ำ 11% สำหรับ CAR (8.5% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 7% สำหรับอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ) แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าธนาคารพาณิชย์รายไหน มีความเสี่ยงจากการขาดแคลนเงินกองทุนในอนาคตบ้าง
ข้อเท็จจริงที่ว่ามา เข้าร่องพอดีกับมุมมองแบบทฤษฎีสมคบคิดที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก มองว่า คำสั่งของธปท.เป็นการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกที่เลยเถิด เพราะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย เนื่องจากที่ผ่านมาธปท.ไม่เคยบอกให้รู้เลยว่าธนาคารพาณิชย์รายใดมีปัญหาขาดแคลนเงินกองทุน และที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แม้จะรายงานกำไรสุทธิลดลง แต่ก็ลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มอื่น ๆ ในอนาคต และที่สำคัญยังไม่รายงานตัวเลขกำไรสุทธิติดลบเลยในไตรมาสแรก
กลุ่มที่สองมองว่า นี้คือการ “อุ้มชูธนาคารพาณิชย์” ของธปท.ที่กำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างมีเจตนาเพราะทราบกันดีว่าปีนี้ ลูกหนี้สำคัญของธนาคารพาณิชย์กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ ล้วนได้รับความเสียหายจากโควิด-19 อาจจะทำให้ปัญหา NPL เพิ่มขึ้น ในขณะที่การจ่ายปันผลระหว่างกาลอาจจะส่งผลต่อฐานะเงินกองทุนของ บางธนาคารพาณิชย์ (ไม่ระบุชื่อร่อยหรอลงจนอาจจะต้องเพิ่มเงินทุนระลอกใหม่) ในขณะที่สถานการณ์ตลาดไม่แน่นอน
การอุ้มชูธนาคารด้วยคำสั่งที่หลายคนอาจจะถือเป็น “ประวัติศาสตร์” ภายใต้ข้ออ้างให้ทำแผนงาน 3 ปีจึงมีเจตนาอุ้มชูธนาคารพาณิชย์บางรายเป็นสำคัญแต่รายอื่น ๆ ก็สมอ้างได้รับประโยชน์ไปด้วย
อย่างไรเสียธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต้องถูกข่าวลือว่าไม่จ่ายปันผลเพราะขาดสภาพคล่อง เพราะมี “พี่เลี้ยงที่แสนดี”อย่างธปท.คอยดูแลอยู่
คำถามคือแล้วการจ่ายเงินปันผลงวดปลายปีจะดีเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมแค่ไหน ยังคงไม่มีคำตอบ
ยามนี้ นักลงทุนที่ตกอยู่ในสภาพหวานอมขมกลืนกับหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่ “เท้งเต้ง” กับความไม่แน่นอนคงต้องทำใจ ยอมรับคำปลอบโยนลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ระดับเงินกองทุนสูงของธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ต้องจ่ายปันผลและรับซื้อหุ้นคืน จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยเงินกู้ได้มากขึ้น และมีกำไรไม่ลดลงหรือเพิ่มมากขึ้น
เข้าทำนอง “ต้นร้ายปลายดี” หรือ blessing in disguise
ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ ยากจะคาดเดา