“โอสถานุเคราะห์” ตัดขาย OSP กว่า 3% ดึงรายใหญ่-กองทุนเข้าถือ ฟาดกำไร 3.5 พันลบ.

"โอสถานุเคราะห์" ตัดขาย OSP กว่า 3% ดึงรายใหญ่-กองทุนเข้าถือ ฟาดกำไร 3.5 พันลบ.


บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า บริษัทได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นของบริษัทว่ามีผู้ถือหุ้น 4 คนในกลุ่ม Orizon ได้แก่ 1. Orizon Limited, 2 นายเพชร โอสถานุเคราะห์, นายภูรี โอสถานุเคราะห์ และ นายภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ได้เข้าทำรายการจำหน่ายหุ้นสามัญของสามัญของบริษัทฯ ที่ถืออยู่โดยรวมจำนวน 90,112,500 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 3 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทให้แก่นักลงทุนสถาบันไทย และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) โดยจะทำรายการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 29 มิ.ย. 63

ทั้งนี้ การจำหน่ายหุ้นดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่ม Orizon เมื่อนับรวมกันแล้วลดลงจากประมาณร้อยละ 30.69 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 27.69 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท

สำหรับรายละเอียดการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้ ประกอบด้วย

1.Orizon Limited จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 14,927,650 หุ้น หรือ 0.497% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท

2.นายเพชร โอสถานุเคราะห์ จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 29,436,750 หุ้น หรือ 0.98% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท

3.นายภูรี โอสถานุเคราะห์ จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 30,037,500 หุ้น หรือ 1.00% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท

4.นายภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์ จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 15,710,600 หุ้น หรือ 0.523% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท

อย่างไรก็ตาม Orizon ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท และธุรกรรมดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่ากลุ่ม “โอสถานุเคราะห์” และ Orizon Limited มีต้นทุนซื้อหุ้น OSP ที่ราคาพาร์ (Par) 1 บาท ดังนั้นจะได้รับเงินจากการขายหุ้นครั้งนี้ที่ประมาณ 3.532 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มโอสถานุเคราะห์ 2.9 พันล้านบาท และ Orizon Limited ที่ประมาณ 586 ล้านบาท

ด้าน นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OSP เปิดเผยว่า ครอบครัวของโอสถานุเคราะห์มีโครงการต่างๆ ที่ได้ไตร่ตรองมานานแล้ว กล่าวคือโครงการด้านศิลปะ วัฒนธรรม และด้านการศึกษาซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างรากฐานของวงการศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาของประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งต้องใช้งบประมาณสนับสนุนสูงเกินกว่าที่ครอบครัวโอสถานุเคราะห์จะทำได้ จึงจำเป็นที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการลงทุน

“ขอให้เข้าใจด้วยว่าผมและครอบครัวเรามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังกล่าวในช่วงเวลานี้ โดยขายหุ้นบางส่วนในบริษัทฯซึ่งจะทำให้สัดส่วนของหุ้นที่ถือโดยกลุ่มครอบครัวโอสถานุเคราะห์และ Orizon Group เปลี่ยนจาก 30.69% เป็น 27.69%”  นายเพชร กล่าว 

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ยังมีความเชื่อมั่นในบริษัทฯ อย่างสูงและพร้อมที่จะยืนหยัดเป็นผู้ถือหุ้นหลักกลุ่มหนึ่งของบริษัทฯต่อไปอีกยาวนาน การขายหุ้นบางส่วนในครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯแต่อย่างใด และเราพร้อมที่จะสนับสนุนบริษัทฯให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปอีกยาวนาน

Back to top button