พาราสาวะถี
ปัญหาหนึ่งยังกุมขมับ ก็มีปัญหามาซ้อนทับให้ปวดหัวหนักเข้าไปอีก เป็นธรรมดาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศ และยิ่งเป็นผู้นำที่สืบทอดอำนาจโดยใช้การเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้าหวังได้รับความน่าเชื่อถือ ยิ่งต้องลงทุนหนักกว่าคนที่มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยปกติหลายเท่าตัว เวลาเกิดอะไรขึ้นจากที่คนเคยมองเป็นเรื่องปกติ แต่กับรัฐบาลที่วางแผนในการอยู่ต่อจากองคาพยพของเผด็จการยึดอำนาจ ย่อมมีข้อกังขาเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน
อรชุน
ปัญหาหนึ่งยังกุมขมับ ก็มีปัญหามาซ้อนทับให้ปวดหัวหนักเข้าไปอีก เป็นธรรมดาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศ และยิ่งเป็นผู้นำที่สืบทอดอำนาจโดยใช้การเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้าหวังได้รับความน่าเชื่อถือ ยิ่งต้องลงทุนหนักกว่าคนที่มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยปกติหลายเท่าตัว เวลาเกิดอะไรขึ้นจากที่คนเคยมองเป็นเรื่องปกติ แต่กับรัฐบาลที่วางแผนในการอยู่ต่อจากองคาพยพของเผด็จการยึดอำนาจ ย่อมมีข้อกังขาเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน
ประเด็นการปรับครม.ชัดเจนจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีขึ้นไม่เกินเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนจะอยู่ในช่วงเวลาใด คงอยู่ที่การเจรจากับคนนอกที่จะดึงเข้ามาร่วมรัฐบาล เห็นการส่งสัญญาณของน้องเล็กจากแก๊ง 3 ป.ว่า มีโควตาในมือของตัวเองอยู่ และสำทับด้วยพี่ใหญ่ในฐานะหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจบอกว่าสัดส่วนรัฐมนตรีที่ 4 กุมารไขก๊อก 4 ตำแหน่งรวมของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ด้วยแล้ว เป็นโควตาของท่านผู้นำ
สิ่งที่พูดมันสวนทางกับท่าทีของคนในพรรคสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะบรรดาลูกไล่ลิ่วล้อทั้งหลายแหล่ ที่ออกมาทวงถาม 4 กุมารหลังจากไขก๊อกพ้นสมาชิกพรรค ให้ลาออกจากความเป็นรัฐมนตรีเพื่อคืนโควตาให้กับพรรคด้วย พอหัวหน้าพรรคพูดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร น่าสนใจไม่น้อย นั่นเท่ากับว่า นี่เป็นสัญญาณของการเตรียมรับประทานแห้วของพวกที่หวังตำแหน่งจากการปรับครม.เที่ยวนี้ในพรรคสืบทอดอำนาจ ยิ่งกลุ่มสามมิตรด้วยแล้วน่าจะเป็นการอกหักอีกกระทอก
เพราะถ้ายึดตามทิศทางข่าวและกระแสที่ถูกปล่อยออกมา เก้าอี้ที่หวังของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ยังจะไม่สมหวังต่อไป การปรากฏรายชื่อของ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร พร้อมคำถามย้อนกลับไปยังสื่อของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เท่ากับเป็นการการันตีไปครึ่งค่อนตัวว่า เขามาแน่ และถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่าการปิดประตูตีแมว เอ๊ย! คุยกันเรื่องจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคสืบทอดอำนาจในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ต้องแลกเปลี่ยนกันหนักหน่อย
หากอยากให้ท่านผู้นำใช้โควตาดึงคนนอกมาสร้างความเชื่อมั่น เรื่องการจัดสรรปันส่วนเก้าอี้ภายในพรรคสืบทอดอำนาจก็ต้องเจรจากันให้สะเด็ดน้ำ เมื่อไม่ได้เก้าอี้ที่วาดฝัน ก็ต้องแปรสภาพเป็นปัจจัยที่สมน้ำสมเนื้อกับการลงทุนลงแรง ที่ช่วยกันผลักดันให้พี่ใหญ่เข้ามากุมบังเหียนพรรคด้วยการหักหาญทีมงาน 4 กุมารแบบตัดบัวไม่เหลือใย ในส่วนของกลุ่มสามมิตรถ้าแกนนำสำคัญอย่างสุริยะไม่ได้เก้าอี้ที่สำคัญ อย่างน้อย เด็กในคาถาที่มีดีกรีของเลขาธิการพรรคอย่าง อนุชา นาคาศัย ก็ต้องได้เป็นรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เพื่อศักดิ์ศรีของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บ้านของพรรคแกนนำรัฐบาล จะให้น้อยหน้าสองพรรคร่วมสำคัญอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ที่เลขาธิการของพรรคทั้งสองนั่งว่าการกระทรวงใหญ่ทั้งคู่ได้อย่างไร ถ้ายึดตามคำพูดของพี่ใหญ่ ก็หมายความว่าการเคลียร์ทางภายในพรรคสืบทอดอำนาจเพื่อให้น้องเล็กได้ปรับครม.อย่างสบายใจคงไร้ปัญหา เช่นเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่มีการเรียกร้องเพื่อขยับแต่อย่างใด หากได้อยู่ที่เดิมครบทุกตำแหน่งก็ถือว่าสมประโยชน์แล้ว
อย่างไรก็ตาม คงประมาทเกมการเมืองว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์กันยาก บางพรรคที่ได้ส.ส.มาเติมถึง 10 เก้าอี้ แล้วให้ลูกพรรคออกมาประกาศว่าไม่เรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่ม มองมุมเดียวก็ถือเป็นความเสียสละและน่ายกย่อง แต่อีกด้านมันก็ต้องแลกมาด้วยการต่อรองในมุมที่ว่า ถ้าจะไม่ให้ตีโพยตีพายก็ขอให้คนของพรรคตัวเองได้คุมกระทรวงเดิมต่อไปอย่าให้ใครมายุ่ง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขในการปรับครั้งนี้ ถ้าจะไม่ให้กระทบกระเทือนกันหนักมากก็ต้องยอมกันตามนี้
ภาพลักษณ์ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องเร่งสร้างคือทีมเศรษฐกิจโดยเฉพาะคนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีม เนื่องจากการที่ท่านผู้นำนั่งกุมบังเหียนเองมันแสดงให้เห็นตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่ได้เรื่อง เมื่อสมคิดและทีมงานพร้อมใจกันโบกมือลาไปแล้ว ก็ต้องหาคนใหม่ที่มีชื่อชั้นไม่แพ้กันมาช่วยบริหาร เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา แต่ถ้ารายชื่อเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏก็จะได้ภาพในแง่การยอมรับของคนในแวดวงธุรกิจและการเงิน แต่ภาพกว้างซึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชนโดยทั่วไปยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ด้วยโจทย์ที่เป็นไฟต์บังคับแบบนี้ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีตัวเลือกน้อยก็จำเป็นต้องเดินกันไปตามนี้ ที่เหลือต้องไปวัดดวงกันเอาเอง เพราะสิ่งที่ดันมาควบคุมกับสถานการณ์บีบให้ต้องปรับครม.คือ กรณีโควิดวีไอพี จากทหารอียิปต์และลูกสาวอุปทูตซูดาน กรณีแรกนั้นเด่นชัดมันอย่างยิ่งว่าสร้างความเสียหายต่อความเชื่อถือที่มีต่อท่านผู้นำ ลามไปถึงศบค.และโฆษกอย่าง นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ชนิดที่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
ยิ่งได้เห็นมาตรการเรียกความเชื่อมั่น 5 อย่าง โดยเฉพาะการจัดแข่งขันฟุตบอลในพื้นที่จังหวัดระยองโดยทีมจากระดับไทยลีกหรือลีกสูงสุดของประเทศไทย แบบให้มีคนเข้าชมนั้น ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด เพราะมันจะทำได้ทันทีทันใดได้อย่างไร แค่การเตรียมทีมฟุตบอลก็ต้องใช้เวลาแล้ว สิ่งสำคัญคือ กระบวนการตรวจสอบและยืนยันการตรวจเชื้อสำหรับผู้ที่จะเข้าร่วม รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่คิดง่ายและทำได้ทันที นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างว่าอย่าดิ้นกันจนเกิดเหตุแทนที่จะสร้างความเชื่อมั่นมันจะยิ่งกลายเป็นการสร้างความปั่นป่วนหนักเข้าไปอีก
จุดติดหรือเปล่าไม่รู้ แต่เท่าที่เห็นคนมาร่วมการชุมนุมของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือสนท. และกลุ่มเยาวชนปลดแอกหรือ Free Youth ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญให้กับรัฐบาลว่าที่บริหารกันมานั้นผลเป็นอย่างไร กับ 3 ข้อเรียกร้อง “หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” พร้อมเงื่อนไขให้เวลา 2 สัปดาห์ในการยืนยันคำตอบ ต้องดูว่ารัฐบาลที่ถนัดทำปฏิบัติการข่าวสารจะแก้เกมอย่างไร หลังจากที่มีโควิด-19 เข้ามาช่วยหยุดกระแสมาแรงของม็อบคนรุ่นใหม่หนหนึ่งตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา