“บล.เมย์แบงก์ฯ” ชี้กลุ่ม “คอนซูเมอร์” ฟื้นเร็วสุด พร้อมผสาน 3 ธุรกิจเด่น เพิ่มโอกาสลงทุน

“บล.เมย์แบงก์ฯ” ชี้กลุ่ม “คอนซูเมอร์” ฟื้นเร็วสุด พร้อมผสาน 3 ธุรกิจเด่น เพิ่มโอกาสลงทุน


บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) หรือ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า การฟื้นตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมหลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นไปในอัตราเร่งที่ไม่เท่ากัน ซึ่งหากพิจารณาจากวันที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในไทย เมื่อ 31 ม.ค. 2563 (ฐาน) เทียบกับปัจจุบัน (13 ก.ค. 2563) พบว่า กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) ฟื้นตัวกลับมาได้เร็วที่สุดและเกินระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปแล้ว คิดเป็น 107.81% ในขณะที่กลุ่มการเงินเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าที่สุด กลับมาได้เพียง 74.7%

ขณะที่โครงสร้างดัชนี SET Index เปลี่ยนไป โดยกลุ่มบริการ (Services) มีน้ำหนักต่อดัชนีมากขึ้นเป็น 26% ในปี 2563 (ขยายตัวจาก 11% ในปี 2553) ส่วนกลุ่มการเงินมีน้ำหนักลดลงจาก 22% สู่ 13%

ส่วนกลุ่มนักลงทุนรายย่อย (Retail Investors) มีบทบาทขับเคลื่อนตลาดมากขึ้น จาก 33.72% ในปี 2562 สู่ระดับ 42.92% ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2563

ขณะที่ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยมุมมองต่อภาพอุตสาหกรรมไทยและ SET หลัง COVID-19 ว่า แนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พิจารณาจากน้ำหนักที่มีผลต่อดัชนี SET Index และศักยภาพในการแข่งขัน คือ กลุ่มเกษตรกรรมและอาหาร (Agro and Food) สาธารณสุข (Healthcare) รวมถึงการท่องเที่ยว (Tourism) ที่แม้ว่าการฟื้นตัวจากสถานการณ์หลัง COVID-19 จะยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก

โดยกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์มุ่งเน้น ประกอบด้วย 1) การให้บริการบนดิจิทัลแพลตฟอร์มมากขึ้น 2) พัฒนาสินค้าให้ครบรูปแบบ มีความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกสาหรับนักลงทุน

3) ปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้ออานวยและดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ๆ อาทิเช่น การปรับเกณฑ์เพื่อลดความผันผวนของตลาด เปลี่ยนเกณฑ์ Ceiling/Floor เหลือ +/- 15% ปรับเกณฑ์ Short Selling รวมถึงล่าสุดกาลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่ออนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถระดมทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ และ 4) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีการกากับดูแลความเสี่ยงตามกลไกของ บรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล

ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มีความเห็นสอดคล้องในแง่ของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่ง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เคยออกบทวิเคราะห์ใน Theme การลงทุน “Thailand : Core Competencies Combination” เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2563 ซึ่งเป็นมุมมองระยะยาวที่ผสมผสานจุดเด่นของ 3 อุตสาหกรรม ประกอบไปด้วย อาหาร การแพทย์ และ การท่องเที่ยว ออกมาเป็น 1) Healthcare + Tourism คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 2) Food + Tourism คือ การบริโภคสาหรับนักท่องเที่ยว และ 3) Food + Healthcare คือ อาหารเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

สำหรับหุ้นเด่นระยะสั้นใน ประกอบด้วย บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT โดยจะได้อานิสงค์บวกมาตรการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐฯจากสัดส่วนโรงแรมในต่างจังหวัดสูงถึงราว 65% ในขณะที่ธุรกิจอาหารจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 หลังการคลายล็อคดาวน์ ในขณะเดียวกันมีสัญญาณการฟื้นตัวของราคาหุ้นระยะสั้น โดยวานนี้ (21 ก.ค.) ราคาดีดกลับแรงทำจุดสูงสุดในรอบ 8 วัน ที่ 20.30 บาท พร้อม Volume หนาแน่นสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน

รวมทั้งบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากปีก่อน และขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาส 3/63 จากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศไทยปรับตัวขึ้น ราคาเป้าหมาย 39.20 บาท

Back to top button