พาราสาวะถีอรชุน

เหตุระเบิดแยกราชประสงค์ช่วงหัวค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ยอดคนตายล่าสุดอยู่ที่ 20 ราย บาดเจ็บ 123 คน ท่ามกลางความสูญเสีย สิ่งที่หลายคนอยากรู้คือใครกันที่อำมหิตเจตนาฆ่าคนหมู่มากใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นงานใหญ่ที่รัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งรัดให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสรุปหาสาเหตุให้เจอ


เหตุระเบิดแยกราชประสงค์ช่วงหัวค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ยอดคนตายล่าสุดอยู่ที่ 20 ราย บาดเจ็บ 123 คน ท่ามกลางความสูญเสีย สิ่งที่หลายคนอยากรู้คือใครกันที่อำมหิตเจตนาฆ่าคนหมู่มากใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นงานใหญ่ที่รัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งรัดให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสรุปหาสาเหตุให้เจอ

หลังเกิดเหตุหมาดๆ บุคคลที่เกี่ยวข้องหลายรายได้ให้สัมภาษณ์แต่ยังไม่ฟันธงชัดว่ามาจากสาเหตุใด มีเพียงรายของ พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่คืนนั้นยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกรัฐบาลบอกว่า คนร้ายที่ก่อเหตุมีแนวโน้มน่าจะเป็นผู้ที่เสียประโยชน์กลุ่มเดิมๆ ที่ต้องการสร้างความวุ่นวายในประเทศ ไม่ต้องการให้ประเทศมีความสุข

ร้อนถึง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ต้องรีบออกมาตอบโต้ทันควัน รู้สึกสมเพชพลตรีสรรเสริญ ที่ออกมาระบุเช่นนั้น รัฐบาลควรทำงานอย่างมืออาชีพ ต้องทำการสืบสวนสอบสวนก่อนมีการให้ข่าว และต้องให้ข่าวอย่างระมัดระวัง แต่โฆษกรัฐบาลกลับใช้สัญชาตญาณในการให้ข่าว เล่นการเมืองไม่เลิกและใช้เรื่องน้ำเน่าแบบเดิมๆ ไม่แยกแยะถือว่าใช้ไม่ได้ เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องบ้านเมืองไม่ใช่การเมือง

ก่อนจะเรียกร้องให้บิ๊กตู่ว่ากล่าวตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีความคิดไปแย่งชิงอำนาจและไม่ได้กลัว แต่ต้องการให้บรรยากาศบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ปรากฏว่าโฆษกรัฐบาลกลับใช้เหตุการณ์นี้เป็นการเมืองหนักกว่านักการเมืองเสียอีก การออกมาให้ข่าวหลังเสียงระเบิดเกิดขึ้นยังไม่มีการตรวจสอบ รีบโยนระเบิดใส่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นการเอาการเมืองมาละเลงในบ้านเมือง

ทว่าเสียงเรียกร้องของประธานนปช.น่าจะไร้ผลเพราะพลเอกประยุทธ์ได้แถลงข่าวผ่านทีวีระบุ แสดงให้เห็นว่ายังมีบุคคล กลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีอยู่ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งติดตามสืบสวนผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ยืนยันว่าจะยืนเคียงข้างประชาชนไม่ว่าจะยามทุกข์หรือสุข และขอให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ร่วมจับมือเพื่อเดินไปข้างหน้า ด้วยความสามัคคี เพื่อฝ่าฟันให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติ

เป็นท่วงทำนองที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศ แต่ในอีกมุมย้ำเรื่องกลุ่มคนไม่หวังดีนั้น หวังว่านี่จะไม่ใช่การชี้นำเพื่อทำให้เป็นเรื่องทางการเมือง เนื่องจากการตั้งข้อสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่วางไว้ 3 ประเด็นนั้นถือว่ามีความแหลมคมอย่างยิ่ง ทั้งกรณีกลุ่มการเมือง กลุ่มก่อเหตุจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ และกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ

สองกรณีหลังนั้นถือเป็นผลร้ายกับประเทศอย่างยิ่ง หากเป็นโจรใต้นั่นหมายความว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุได้ขยายพื้นที่ลงมือบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงของประเทศกันแล้ว แต่ดูจากระเบิดที่ประกอบขึ้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงเข้าข่ายกรณีคนร้ายต่างชาติและมองถึงความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวพันกับกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน

สังเกตได้จากเป้าหมายการสังหารครั้งนี้ บวกกับภาพวงจรปิดที่จับภาพชายต้องสงสัยซึ่งไปวางเป้ไว้ในจุดที่เกิดเหตุทำให้มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องชื่นชม พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ยึดมั่นในหลักการ เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มใด เพราะทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุและพยานบุคคล

เช่นเดียวกันกับกรณีของชายชาวต่างชาติที่มีการเผยแพร่ภาพในสื่อโซเชียลในขณะนี้ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ เจ้าหน้าที่ยังต้องใช้เวลาตรวจสอบกล้องวงจรปิดอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมถึงต้องดูความต่อเนื่องของผู้ต้องสงสัยว่ามาจากที่ใดและสอดคล้องกับการก่อเหตุหรือไม่ แน่นอนว่าการสรุปเป็นฝีมือต่างชาตินั้นจะส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของประเทศมหาศาล

งานนี้คงจะด่วนสรุปไม่ได้ แต่จะดึงจังหวะยื้อเวลาเหมือนเหตุระเบิดอื่นๆ ที่ผ่านมาไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะครั้งนี้ถือเป็นการก่อวินาศกรรมรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย รัฐบาลคงต้องมีคำตอบให้กับต่างชาติโดยเร็ว ขณะที่มิติทางด้านการเมืองนั้น ก็มีสื่อต่างชาติตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็เหมือนเป็นการแตะเบรกภาครัฐของไทยว่าอย่าด่วนสรุปแบบมักง่ายได้เหมือนกัน

โดยสำนักข่าวเดลี่ มิเร่อร์ ระบุว่า ความพยายามโยงสาเหตุมาจากความขัดแย้งของกลุ่มการเมืองในเมืองไทยก็อาจมีความเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบว่า หากเป็นจริงแล้วกลุ่มที่ลงมือดังกล่าวจะได้ประโยชน์อะไรจากการก่อเหตุนี้ ซึ่งได้มุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือนและชาวต่างชาติ ที่ถือเป็นแหล่งการท่องเที่ยวของเมืองไทยเอง

เรื่องอ่อนไหวเช่นนี้หากหวังดีต่อประเทศคงไม่มีใครที่จะไปวิเคราะห์วิจารณ์ในทางเสียหาย ไม่ว่าจะชี้นิ้วไปทางไหนก็มีแต่เสียกับเสีย แรงกระเพื่อมที่เห็นเป็นเบื้องต้นคือคำเตือนของประเทศต่างๆ ที่มีต่อประชากรของตัวเองให้ระมัดระวังในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ถ้าสถานการณ์ยังไม่มีความชัดเจนอาจจะหนักข้อถึงขั้นสั่งงดเดินทางมาบ้านเราซึ่งนั่นจะเป็นความเสียหายใหญ่หลวง

ในช่วงจังหวะชุลมุนก็มีสิ่งที่ผู้ซึ่งอยู่ในอำนาจร่วมในรัฐบาลจะต้องลุ้นกัน หลังจากที่บิ๊กตู่ยืนยันได้นำรายชื่อครม.ที่มีการปรับเปลี่ยนขึ้นทูลเกล้าฯถวายแล้ว คนที่ไม่พลิกโผนอนมาคือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพียงจับตาแค่ว่าจะนั่งควบสองตำแหน่งคือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจกับรัฐมนตรีคลังหรือไม่เท่านั้นเอง เช่นเดียวกันกับกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญที่เจ้าตัวยื่นข้อเสนอไป 2-3 กระทรวง

เมื่อนายกฯตกปากรับคำยกกระทรวงพาณิชย์ให้สมคิดเลือกคนแล้ว ก็จำเป็นต้องย้ายเพื่อนรัก พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ พ้นตำแหน่งแต่ค่อนข้างจะยืนยันแน่นอนว่า บิ๊กนมชงจะไปลงเอยที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ส่วนที่กระทรวงคมนาคมยังคงจะเป็นที่รวบรวมของข้าราชและอดีตข้าราชการต่อไปแม้ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง จะถูกเด้งไปแล้วก็ตาม

นอกจากจะดัน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ขึ้นชั้นว่าการแล้ว จะมีการเติมเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเพิ่มอีก 1 ราย โดยคนที่อยู่ในข่ายว่าจะได้รับการเลือกคือ สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคมซึ่งจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้ อีกคนจะเป็น ออมสิน ชีวะพฤกษ์ ประธานบอร์ดการรถไฟฯ เห็นรายชื่อแบบนี้ชัดเจนว่า เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใส่เกียร์เดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์แบบเต็มตัว

Back to top button