“วิษณุ เครืองาม” เผยนายกฯ แจงเหตุปรับ ครม.เพื่อเปลี่ยนวิธีทำงาน
"วิษณุ เครืองาม" เผยนายกฯ แจงเหตุปรับ ครม.เพื่อเปลี่ยนวิธีทำงานแต่นโยบายตามเดิม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (18 ส.ค.) นายกรัฐมนตรีได้แจ้งเรื่องการปรับ ครม.ให้รัฐมนตรีรับทราบหลังมีข่าวปรับ ครม.ออกมาหลายครั้ง หากไม่พูดอะไรก็จะถูกต่อว่าไม่ยอมบอกกล่าว โดยได้นำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลฯ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่วนจะโปรดเกล้าฯ เมื่อใดนั้นก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีทุกคน ไม่ว่าจะอยู่หรือไป หรือสลับกระทรวง เพราะรัฐมนตรีทุกคนให้เกียรตินายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ต้องให้เกียรติคืน และขอเชิญรัฐมนตรีที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งมาเป็นที่ปรึกษาเพราะมีภารกิจให้ทำ พร้อมทั้งย้ำว่าเคยเป็นผู้เล่นก็เปลี่ยนไปเป็นบทโค้ชบ้าง เพื่อจะได้ช่วยคนใหม่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่หากไม่สะดวกใจก็ขอให้บอกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
“นายกฯ ย้ำว่าไม่มีผู้ใดออกไปโดยความผิด ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครปฏิบัติงานหย่อนประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นว่า ครม.หลายคนก็เข้าใจ เห็นนั่งพยักหน้างึกๆ หลายคน สำหรับการปรับ ครม.ครั้งนี้จะมีการสลับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น “ไม่รู้ ไม่ทราบ” นายวิษณุ กล่าว
ทั้งนี้หลังการปรับ ครม.แล้วจะช่วยให้เสถียรภาพของรัฐบาลดีขึ้นหรือไม่นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ควรตอบเมื่อเห็นรายชื่อ ตนเองก็พอระแคะระคายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรพูดไป เพราะพูดไปอาจจะไม่จริง อาจจะไม่ถูก ซึ่งเรื่องภาพรวมพูดยาก แต่นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจอยู่แล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีเริ่มประโยคว่าผมมีความจำเป็นที่ต้องปรับเพื่อให้การทำงานเป็นไปตามความต้องการของประชาชน เป็นไปตามนโยบาย และที่สำคัญได้ลองวิธีการทำงานมาแบบหนึ่งแล้วถึงเวลาที่จะเปลี่ยนวิธีทำงานอีกแบบ แต่นโยบายยังแบบเดิมเพราะเป็นรัฐบาลเดียวกัน แต่วิธีทำงานอาจจะแตกต่างกัน
ส่วนกระแสข่าวจะปรับทีมเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่นั้น นายวิษณุ เปิดเผยว่า “ผมว่าปรับหมดทุกด้าน แต่ไม่ใช่ทุกคน” เมื่อถามว่ายังดำรงตำแหน่งเดิมอยู่หรือไม่ นายวิษณุ ตอบว่า “รอไปแก้บน แต่คงไม่แก้ เพราะผลออกมาไม่ถูก” และเมื่อถามว่าแสดงว่าบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอยากออกจาก ครม. นายวิษณุ ตอบเพียงว่า “แสดงว่ายังไม่ศักดิ์สิทธิ์”
ขณะที่ทางรัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะใช้กฎหมายตามมาตรา 44 ออกคำสั่งให้อำนาจทหารตรวจค้นเคหะสถาน เรียกคนเข้ารายงานตัว และจับกุมคดีความมั่นคง ต่อกรณีเหตุระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อช่วงค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่มีแนวคิดที่จะแก้ไขคำสั่งให้เข้มข้น
ก่อนหน้านี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า มาตรการที่บังคับใช้อยู่ในขณะนี้น่าจะเพียงพอสำหรับควบคุมสถานการณ์ แต่หากไปถึงจุดหนึ่งที่รู้ตัวว่าใครเป็นคนทำ ใครอยู่เบื้องหลัง มีความซับซ้อนเป็นพิเศษ หรือหากคนร้ายยอมรับสารภาพว่ามีการวางระเบิดไว้ที่อื่นด้วย แสดงว่ามีการยกระดับเรื่องนี้ขึ้นมาซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเหตุการณ์วันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมาจึงจะพิจารณามาตรการอื่น
“ขณะนี้ยังใช้มาตรการตามปกติ ยังไม่ได้ใช้มาตรา 44 ในการเข้าบังคับตรวจค้น เราเขียนอำนาจไว้เต็ม แต่เวลาใช้จริงก็จะเลือกใช้ ถ้าพบเบาะแสที่แสดงถึงความซับซ้อนบานปลาย มาตรา 44 อาจจะเอาไม่อยู่ คงต้องคิดคำสั่งใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น เพราะวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร” นายวิษณุ กล่าว