LALIN วิ่งซิลลิ่ง! รับกำไรไตรมาส 2 พุ่งแรง รอรับปันผล 0.25 บ.
LALIN วิ่งซิลลิ่ง! รับกำไรไตรมาส 2 พุ่งแรง รอรับปันผล 0.25 บ. ล่าสุดอยู่ที่ 5.40 บาท บวก 0.68 บาท หรือ 14.41% มูลค่าซื้อขาย 20.28 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ล่าสุด ณ เวลา 15.20 น. อยู่ที่ 5.40 บาท บวก 0.68 บาท หรือ 14.41% สูงสุดที่ 5.40 บาท ต่ำสุดที่ 4.68 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 20.28 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น LALIN ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 5.40 บาท เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2562 หลังประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 395.83 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.43 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 149.79 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท พร้อมจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 27 ส.ค.นี้
ด้าน นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้ส่งผล กระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
ทั้งนี้คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปีนี้จะหดตัวไม่ต่ำกว่า 7-8% โดยเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียว คือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ที่จะเป็นตัวช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ในขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ, การส่งออก, การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ล้วนได้รับผลกระทบและหดตัวลงอย่างมาก
ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม มีการหดตัวลงเช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจหลักโดยเริ่มเห็นหลายบริษัทได้รับผลกระทบ และประสบกับภาวะขาดทุน ในแง่ของบริษัท ซึ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) และมีการบริหารงานที่มีการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 2,562 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 38.9%
ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 11.4% มาอยู่ที่ 10.1% นอกจากนี้ในไตรมาสสองนี้ บริษัทมีการบันทึกกำไรพิเศษที่เกิดจากถูกเวนคืนในโครงการหนึ่งของบริษัท ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 643 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%
สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้ปิดโครงการลง และบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ในช่วงเดือนนี้ต่อเดือนหน้า
ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับ D/E Ratio ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาสสองมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.77 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า