ปัจจัยลบรายล้อมยังกดดัน SET ร่วงต่อชู 14 หุ้นเด็ด รับผลดีหลังมีครม.ชุดใหม่
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับลงตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของจีนซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัว อีกทั้งมีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนระยะกลางเริ่มทยอยซื้อในหุ้นกลุ่มหลักซึ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของ ครม. ชุดใหม่
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.21 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.62 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยรับปัจจัยถ่วงจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ผลมาจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับลดตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของจีนซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัว อีกทั้งมีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนระยะกลางเริ่มทยอยซื้อในหุ้นกลุ่มหลักซึ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของ ครม. ชุดใหม่
หุ้นเด่นเลือก UWC-BR-CK-STEC-SEAFCO-CPALL-HMPRO-KBANK-KTB-ADVANC-INTUCH-ITD-UNIQ และKTB
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ส.ค.) ว่า SET วันศุกร์ลงต่อแต่ไม่แรง โดยคาดราคาน้ำมัน WTI ที่ทรงตัวต่ำใกล้ 40 เหรียญฯ ผนวกกับความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่เพิ่มขึ้น (หลังยอดขายของ Apple Inc.ไปที่จีนลดลงชัดเจน) จะกดดันหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานต่อไป ช่วงสายวันนี้จีนจะรายงานดัชนี Caixin flash PMI เดือน ก.ค. ซึ่งน่าจะชี้ทิศทางตลาดหุ้นเอเชียวันนี้
ด้านฝั่งยุโรปมีปัจจัยไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นในระยะสั้น หลังนายกฯ กรีซประกาศลาออกและจัดเลือกตั้งใหม่ 20 ก.ย. (มองไม่เป็นปัจจัยลบในระยะยาว เพราะไม่ว่าผู้ใดมาเป็นนายกฯกรีซ ก็พร้อมรับเงื่อนไขของเจ้าหนี้ฯ) ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดหุ้นขนาดกลางที่ได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจจาก ครม. ชุดใหม่ จะยังโดดเด่นกว่าดัชนีต่อไป
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร UWC-BR
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ส.ค.) ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และ SET ต่อด้วยแนวรับ 1,350-1,360 จุด ขณะที่ยังกังวลต่อ 1) Downside Risk เศรษฐกิจหลังเหตุระเบิด 2) กระแสเงินทุนไหลออกกระทบหุ้นใหญ่ 3) ความกังวลต่อการชะลอตัวเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ลุ้นมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม และเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลังปรับ ครม.แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มรับเหมาฯ CK-STEC-SEAFCO และค้าปลีก GLOBAL (เป้าหมายระยะสั้น 9.50 บาท) CPALL (“ซื้อ” แนวรับ 47.25) HMPRO (ทะลุ 6.50 บาท จะเป็นจุดกลับตัวระยะกลาง เป้าหมาย 7/7.35 บาท)
บล.เอเซียพลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ส.ค.) ว่ากลยุทธ์การลงทุนปัจจัยกดดันยังมีรอบด้าน ทั้งเงินบาทอ่อนค่า และราคาน้ำมันต่ำกว่า 50 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ระยะ สั้นคาดดัชนีมีแนวรับ 1,360-1,370 จุด (current PER16x) ยังแนะสะสมหุ้น Defensive + P/E ต่ำ + ปันผลสูง คือ ADVANC(FV@B285) และ EASTW (FV@B14) เป็น Top picks
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ส.ค.) จากปัจจัยลบตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวลดลงช่วงเช้านี้ ประเมินดัชนีมีโอกาสปรับฐานลงสู่ระดับ 1,350 จุด โดยฝ่ายวิจัยแนะนำให้นักลงทุนระยะกลางเริ่มทยอยซื้อในหุ้นกลุ่มหลัก เช่น KBANK-KTB-ADVANC-INTUCH-ITD-CK-STEC-UNIQ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของ ครม. ชุดใหม่
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ส.ค.) ทิศทางตลาดมีโอกาสปรับลดตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่คาดได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของจีนซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่เฟดยังไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ด้านปัจจัยในประเทศ คาดยังได้ร้บปัจจัยกดดันบ้างจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ราชประสงค์ คาดยังส่งผลกระทบต่อความ เชื่อมั่นในการลงทุน และคาดยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น กลุ่มโรงแรม (CENTEL และ ERW เป็นต้น) และหุ้นกลุ่ม สายการบิน (เช่น AAV-THAI-BA และ NOK) เป็นต้น
ทางด้าน Fund Flow ต่างชาติยังคงขายสุทธิ ต่อเนื่องอีกกว่า 4,700 ล้านบาท และทำให้ YTD มูลค่าขายสุทธิสูงเกือบ 69,000 ล้านบาท นอกจากนี้ระดับราคาน้ำามันที่ลดลงและอยู่ในระดับต่ำ คาดยังส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน
อย่างไรก็ตาม แนะติดตามนโยบาย ครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่คาดเป็น Sentiment บวกต่อตลาดได้บ้าง แต่โดยรวมคาดยังไม่สามารถชดเชยปัจจัยข้างต้นที่กดดันภาพรวมตลาด
หุ้นแนะนำ: KTB