ปัจจัยลบรุมเร้าตลาด
อาการแกว่งไกวของดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ ชนิดที่นักวิเคราะห์ต้องพากันหันมาให้ความสำคัญกับแนวรับ 1,300 จุด (ทำท่าจะหลุดรอมร่อ) ครั้งใหม่มากกว่าแนวต้าน 1,350 จุดอย่างรวดเร็ว มีเหตุปัจจัยที่น่าสนใจมากทีเดียว
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
อาการแกว่งไกวของดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ ชนิดที่นักวิเคราะห์ต้องพากันหันมาให้ความสำคัญกับแนวรับ 1,300 จุด (ทำท่าจะหลุดรอมร่อ) ครั้งใหม่มากกว่าแนวต้าน 1,350 จุดอย่างรวดเร็ว มีเหตุปัจจัยที่น่าสนใจมากทีเดียว
เริ่มต้นจากมุมมองระดับโลก การที่ราคาทองคำพุ่งต่อเนื่องระลอกใหม่ หลังจากการพักฐานสั้น ๆ เพราะการทำกำไรเหนือ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นในตลาดทั่วโลกยากจะเดินหน้าต่อไปได้ไกล เพราะผลประกอบการครึ่งแรกของปีย่ำแย่มาก
ขาขึ้นของตลาดหุ้นเอเชียได้เริ่มเปลี่ยนเป็นไร้ทิศทางชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวลดลงโดยเฉลี่ย และยังมีแรงกดดันจากทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่หยุดยั้งขาขึ้นเช่นกัน หลังมีรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงสูง พร้อมกับเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ ในขณะที่ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการออกมาตรการดังกล่าวจนถึงขณะนี้
ความกังวลของกรรมการเฟดฯ มีเหตุผลรองรับว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมไวรัสโควิด-19 อีก ภายหลังกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งเป็นวงกว้างว่าจะมีเสถียรภาพมากเพียงใดหากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลงอีก และจะนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ
ที่น่าสนใจคือดูเหมือนเฟดฯ จะไม่ใส่ใจกับมาตรการทางการเงิน แต่มุ่งปัดไปเน้นถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการเยียวยาต่อการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนและมีความจำเป็นต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
ดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย นับแต่ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 22.17 จุด ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เรื่อยมาถึงดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ พากันลดลงเป็นกระแสใหม่
ปัจจัยลบจากภายนอกตลาด สมทบด้วยปัจจัยภายในหลายด้านพร้อมกัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยซึมยาวชัดเจนขึ้น นอกเหนือจากแรงขายของทุนเก็งกำไรต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ที่ล่าสุดขายสะสมสุทธิเกือบถึง 2.4 แสนล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในรอบ 6 ปีแล้วยังมีปัจจัยเสริมหลักอีกหลายประการ
เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสองที่เริ่มตั้งเค้าขึ้นมาให้เห็น และประเด็นความร้อนแรงทางการเมืองจากการต่อต้านชนชั้นอภิสิทธิ์จำนวนน้อยที่ “ทำอะไรก็ไม่ผิด” ของกลุ่มนักศึกษาและเยาวชนที่มีพลังขยายตัวไปทั่วประเทศ
วันพุธที่ผ่านมา ดัชนี SET ร่วงหนัก จากความกังวลกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศ (แม้ทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ออกมาชี้แจงว่าเชื้อที่พบในผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นแค่ซากเชื้อที่ไม่สามารถแพร่ระบาดได้ ก็ตาม) แต่ปัจจัยที่ชี้ขาดจริงน่าจะอยู่ที่ความรุนแรงทางการเมือง
แม้ว่าวันพุธที่ผ่านมา จะมีความพยายามลดกระแสการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล แต่การยอมถอย “ครึ่งก้าว” ของวิปพรรครัฐบาลที่จะยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แตะต้องหมวดที่ 1-2 ก็นำมาซึ่งคำถามว่า จะตรงกับเจตนาของผู้ประท้วงมากเพียงใด แต่กระแสของการใช้อำนาจรัฐคุกคามแกนนำหรือคนที่อำนาจรัฐชี้เป้าว่าเป็นแกนนำกลับเข้มข้นขึ้นสวนทางกัน
มติร่วมพรรครัฐบาล เพื่อเสนอแก้ รธน.ในรูปแบบการตั้งรูปแบบ ส.ส.ร. โดยให้ตั้งทีมศึกษาก่อนยื่นร่างเดียวกันให้เป็นเอกภาพ เกิดขึ้นภายหลังนายอนุทิน นำทีม ส.ส.ภูมิใจไทยประกาศจุดยืนพรรค 6 ข้อ หนุนตั้ง ส.ส.ร.เพื่อลดเงื่อนไขการทำรัฐประหารลง ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ซื้อเวลาเพื่อช่วงชิงจังหวะรุกกลับแรงประท้วง เกิดขึ้นหลังจากที่ทำการสารพัดแล้วไม่ได้ผล เพราะเยาวชนที่ลุกขึ้นสู้ ได้สลัดทิ้งความกลัวและเสียงเยาะเย้ยถากถาง กลายเป็นการเคลื่อนขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยจากฐานราก
เสียงเพลงชื่อ Do You Hear The People Sing? จากภาพยนตร์เพลง Les Miserables ที่ดังกระหึ่มการชุมนุม และการยกมือชู 3 นิ้วตามแบบภาพยนตร์ The Hunger Games ในขณะร้องเพลงชาติที่กระจายตัวในสถานศึกษาทั่วประเทศยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง มีเสียงขานรับและสนับสนุนอย่างกว้างขวางมากขึ้น ทำให้การใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมยากลำบากขึ้น
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังอำนาจรัฐเผด็จการ ไทย จำต้องหันมาปรับยุทธวิธีในการรับมือใหม่ด้วยเพทุบายเก่าที่เคยได้ผลนั่นคือ ยื้อเวลา และใช้รูปแบบ “โหดร้ายเยี่ยงสิงโต เจ้าเล่ห์เยี่ยงสุนัขจิ้งจอก”
ในขณะที่ด้านหนึ่งทำทียินยอมถอยด้วยการตั้ง ส.ส.ร. ทำทีจะแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้อง แต่อีกด้านหนึ่งก็เร่งมือใช้อำนาจที่มีตามกฎหมายเผด็จการเร่งจับกุมแกนนำหรือคนที่เชื่อว่าเป็นแกนนำอย่างจริงจัง เพื่อ “แยกหัวจากตัว”
พร้อมกันนั้น ปฏิบัติการทางจิตวิทยาเดิม ๆ ก็เริ่มออกโรงเช่นให้บรรดาหมอดูหรือซินแสทางการเมืองชื่อดัง (ซึ่งโดยปกติมักเป็นแนวร่วมและเครื่องมือมอมเมาให้คนเชิดชูเผด็จการทหารเสมอมาทุกครั้ง) ออกโรงมาทำนายทายทักเพื่อใส่ร้ายการเคลื่อนขบวนของนักศึกษาและเยาวชนว่าถูกเสี้ยมและสนับสนุนโดยคนบางคนที่ “ชังชาติ”
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ยังเหลืออีกเครื่องมือหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้นั่นคือ การลอบสังหารบุคคลที่เป็นเป้าหมายหรือแกนนำของกลุ่มคนต่อต้านอำนาจเผด็จการ ชนิดที่เมื่อเกิดขึ้นมา มักจับมือใครดมไม่ได้ (ตำรวจจะอ้างน้ำขุ่น ๆ ว่า เพราะทะเลาะวิวาทเรื่องส่วนตัว เพื่อปัดสวะ)
บทเรียนจากการใช้อำนาจและความรุนแรงนี้ อย่าได้นิ่งนอนใจว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า เผด็จการไม่มีวันรามือจากอำนาจง่าย ๆ
บรรยากาศที่มีแนวโน้มการต่อสู้เช่นนี้ เป็นปฏิปักษ์กับการลงทุนในตลาดหุ้น การขายทิ้งที่รุนแรงต่อเนื่องของฟันด์โฟลว์เพราะต้องการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
จะมีแปลกก็ตรงที่ ดัชนี SET ยังยืนเหนือ 1,300 จุดไว้ได้ ทั้งที่ค่าพี/อีของตลาดตอนนี้อยู่ที่ระดับ “สูงจนขาลอย” ที่ 21.77 เท่า เกินจริงอย่างมากมายเป็นประวัติทีเดียว