ITEL อวดแบ็กล็อก 4.7 พันลบ. เดินหน้ารับบิ๊กโปรเจ็กต์-ส่ง “วอแรนต์” เทรดสิ้นเดือนนี้
ITEL อวดแบ็กล็อก 4.7 พันลบ. เดินหน้ารับบิ๊กโปรเจ็กต์-ส่ง “วอแรนต์” เทรดสิ้นเดือนนี้
นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยว่าภาพรวมของการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ผ่านไปด้วยดี และบริษัทฯสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้มั่นใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และจะมีการเติบโตได้อย่างโดดเด่นทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 บริษัทฯมีรายได้รวม 462.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 57.80 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 47.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.97 % ซึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนซึ่งวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังจะรับหลักทรัพย์ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 2 (“ITEL-W2”) โดยคาดการณ์วันเริ่มซื้อขายวันแรก คือ วันที่ 27 สิงหาคม 2563 โดย ITEL-W2 มีจำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายไม่เกิน 250,000,000 หน่วย อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ITEL-W2 (ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 – 19 สิงหาคม 2564) อัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น (เว้นแต่จะมีการปรับสิทธิตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ) ราคาการใช้สิทธิ 3 บาทต่อหุ้น ระยะเวลาการใช้สิทธิวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563, ธันวาคม 2563, มีนาคม 2564 และมิถุนายน 2564 ของอายุใบสำคัญแสดงสิทธิโดยวันสุดท้ายของการใช้สิทธิจะตรงกับวันที่ใบสำคัญแสดงสิทธิ ITEL-W2 มีอายุครบ 1 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ทั้งนี้ หากวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายตรงกับวันหยุดทำการของบริษัทฯ ให้เลื่อนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหน้าวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย
“บริษัทฯ ได้จัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญต่อใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ 1 หน่วย (กรณีมีเศษให้ปัดทิ้ง) โดยไม่คิดมูลค่า โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นและสะท้อนความเชื่อมั่นของบริษัทฯ ที่สามารถต่อยอดการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างแข็งแรง มุ่งหวังขยายธุรกิจโดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนสร้างโครงข่ายที่แข็งแกร่ง” นายณัฐนัย กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง และในอนาคตมองว่าธุรกิจ Data Service ของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่ดีจากความครอบคลุมของโครงข่ายถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความพึงพอใจและเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับบริการของบริษัทฯ มีความน่าเชื่อถือของเสถียรภาพโครงข่ายสูง ส่งผลให้บริษัทฯมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งบริษัทฯ เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบริษัทฯ เอกชนทั่วไป โดยปัจจุบันได้เพิ่มทีมงานทางด้านการขายเพื่อรองรับกับโอกาสทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และรองรับการใช้งานจากประเทศเพื่อนบ้าน
ล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 4,709.45 ล้านบาท เป็นรายได้จากงานบริการโครงข่ายใยแก้วนำแสง 3,299.13 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ราว 17% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่าย 1,164.65 ล้านบาท รับรู้รายได้ 49% ในช่วงครึ่งหลังของปี 63 นี้เช่นกัน ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น จากงานโครงการที่เริ่มทยอยออกมาประมูลอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสที่ ITEL จะนำความเชี่ยวชาญและจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจเข้าร่วมเสนองานเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยโครงการปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อาทิเช่น งานโครงการอินเทอร์เน็ตพื้นที่ชายขอบ (USO Phase 1) และโครงการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล (USO Phase 2) โครงการจัดหาบริการคู่สายวงจรเช่า (Link) สำหรับธนาคารกรุงไทย มูลค่า 165 ล้านบาท โครงการจ้างเหมาออกแบบ และติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง ระยะทาง 3,600 กิโลเมตร ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมูลค่า 249.70 ล้านบาทซึ่งบริษัทฯ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา เป็นต้น
โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้บางส่วน ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของปีนี้จะเติบโตตามแผน ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่มทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สัดส่วนลูกค้าเป็นภาคเอกชน 70% และอีก 30% เป็นทางภาครัฐ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการต่อยอดทางธุรกิจ โดยใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ในบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อีกทั้ง ITEL ได้วางยุทธศาสตร์เป็นองค์กรที่นำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศโดยเน้นหนักและให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไปและมีความครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีการให้บริการเชื่อมต่อกับลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นการให้บริการที่ต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมมากขึ้น ทั้งยังเน้นเรื่องการพัฒนาบริการและผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าด้วยกันโดยจะต้องเน้นการตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (Disruption)
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ นอกเหนือจากงานให้บริการโครงข่ายแบบครบวงจรที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญแล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนางานในส่วนของการอัพเกรดเทคโนโลยีเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้งานในมือรอรับรู้รายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้น และแผนการดำเนินงานในปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-30% ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง