“ครม.” เคาะงบกลาง 1 พันลบ. หนุนลงทุน พัฒนาวัคซีนต้าน “โควิด”

ที่ประชุม “ครม.” สัญจร จ.ระยอง เคาะงบกลาง 1 พันลบ. หนุนลงทุน พัฒนาวัคซีนต้าน “โควิด” ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ


น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) วันนี้ (25 ส.ค.63) อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,000 ล้านบาท ในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิตวัคซีนโควิด-19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังพบอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค.63 มีผู้ป่วยยืนยันกว่า 23.44 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 800,000 คน

โดยโรคโควิด-19 เริ่มแพร่เข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.63 มีผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้สรุปประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2563 ที่ -5.3% และสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าสูงถึง 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1.11% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภาคธุรกิจประสบปัญหาจนต้องปิดกิจการ และลดจำนวนพนักงาน ส่งผลให้มีประชาชนชั้นกลางและประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนมากได้รับผลกระทบต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิต

แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการควบคุมป้องกันโรคได้อย่างดียิ่ง แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดการระบาดของโรคได้ในระลอกที่ 2 เนื่องด้วยยังมีผู้ป่วยจำนวนมากทั่วโลก หากสถานการณ์การระบาดไม่สามารถยุติได้ในระยะเวลาอันใกล้ การเปิดประเทศเพื่อเดินหน้าสู่การดำเนินชีวิต New Normal คู่ขนานไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงเป็นไปได้ยาก และรัฐบาลยังจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือ เพื่อประคองกิจการต่าง ๆ ในประเทศให้สามารถดำเนินการต่อไปได้

ดังนั้น วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ เป็นนวัตกรรมทางสุขภาพและเป็นยุทธปัจจัยที่มีประสิทธิภาพสูงที่จะเป็นคำตอบ ในการป้องกันควบคุมโรค และเป็นความหวังของทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การเร่งรัดให้มีวัคซีนใช้ ในประเทศเร็วขึ้นจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกกับเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นของ ประชาชนต่อการกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

สำหรับแผน Blueprint เพื่อการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของประชาชนไทย ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.63 ซึ่งถือเป็นกรอบนโยบายในการบูรณาการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยดำเนินงานตามยุทธศาสตร์สำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ การนำวัคซีนต้นแบบที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดสอบในประเทศไทย และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิต ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น และระยะกลาง และอีกแนวทางคือ การพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลาง และระยะยาว ในการบรรลุเป้าหมายการเข้าถึงวัคซีนให้ทันท่วงที และสร้างขีดความสามารถของประเทศในการพัฒนาและผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนไทยได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ให้การสนับสนุนและสร้างความ ร่วมมือกับสถาบันวิจัยพัฒนา และหน่วยผลิตวัคซีนในประเทศ ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อส่งเสริมการผลิตวัคซีนใช้ได้เองในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ยังได้เจรจาสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทั้งจากประเทศจีน และ ยุโรป ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตที่มีแนวโน้มจะได้วัคซีนมาใช้ภายในต้นปี 2564 มีความเป็นไปได้ในทางเลือกที่รัฐบาลควรลงทุน เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทยก้าวข้าม สถานการณ์การระบาดได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการมีวัคซีนใช้เร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยให้ประเทศสามารถสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 250,000 ล้านบาท และยังสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

 

Back to top button