BCPG ย้ำชัดเพิ่มทุนหมื่นล้าน ดัน EBITDA เพิ่ม-ลดผลกระทบ dilution
BCPG ย้ำชัดเพิ่มทุนหมื่นล้าน ดัน EBITDA เพิ่ม-ลดผลกระทบ dilution
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถเดินหน้าตามแผนการลงทุนที่วางไว้ โดยเข้าลงทุนในโครงการใหม่ที่น่าสนใจ และมีผลตอบแทนคุ้มค่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ (1.)กลยุทธ์ด้านธุรกิจ ได้แก่ การเติบโตทางธุรกิจทั้งแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth,การเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง,การก้าวสู่ระบบดิจิตอลและนวัตกรรมมากขึ้น
(2.) กลยุทธ์ด้านการเงิน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนที่ใช้และงบดุล และ (3.) กลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล,การเพิ่มขีดความสามารถด้านบุคลากรและองค์กร
โดยตามแผนกลยุทธ์ 5 ปี บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนกว่า 4.5 หมื่นล้าน โดยมุ่งขยายโรงไฟฟ้าไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และประเทศในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการลงทุนตามแผนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง และสามารถรองรับการลงทุนตามแผนที่วางไว้
โดยบริษัทฯ ได้ประกาศเพิ่มทุนไปเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 จำนวน 1.3 พันล้านหุ้น โดยคาดว่าจะได้รับเงินจำนวน 1.035 หมื่นล้านบาท รองรับการลงทุนโครงการที่มีในมือ 64% ของวงเงินโดยรวมจากการเพิ่มทุน และส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนที่สร้าง EBITDA ในอัตราสูงเมื่อรวมกับการจัดการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ จะสามารถลดผลกระทบด้าน dilution ในระยะสั้น ได้อย่างแน่นอน
สำหรับเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนประมาณ 10,000 ล้านบาทในครั้งนี้ บริษัทฯมีแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 6,650 ล้านบาท ในโครงการที่มีอยู่และกำลังพัฒนาดังนี้
(1.)โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 4 โครงการ ตั้งอยู่ในบริเวณ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดลพบุรี และจังหวัดปราจีนบุรี มีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 20 เมกะวัตต์
(2.)โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน สปป. ลาว กำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ รวมถึงการก่อสร้างสายส่งขนาด 500 กิโลโวลต์ เพื่อรองรับการซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าโครงการฯ จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2566
(3.)การชำระหนี้เงินกู้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ใน สปป. ลาว และการสร้างสายส่งขนาด 220 กิโลโวลต์ เพื่อส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้ง 2 แห่ง ไปยังประเทศเวียดนาม
ส่วนเงินเพิ่มทุนอีกประมาณ 3,700 ล้านบาท ใช้เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา และพิจารณาข้อเสนอ ซึ่งตั้งเป้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity/ ROE) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10
โดยเมื่อรวมกับผลประกอบการที่จะได้รับจากการลงทุนตั้งแต่ปลายปี 2562 และปี 2563 ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้ง 2 โครงการ ใน สปป. ลาว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ที่บริษัทฯ ได้ซื้อมาเพิ่มอีก 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ ผนวกกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ ให้เกิดประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนสูงสุด อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในฟิลิปปินส์ ฯลฯ จะสามารถลดผลกระทบด้าน dilution ในระยะสั้นได้อย่างแน่นอน