SCM ปลื้มยอดจอง IPO ทะลัก เดินหน้าขึ้นสังเวียน 8 ก.ย.นี้
SCM ปลื้มยอดจอง IPO ทะลัก เดินหน้าขึ้นสังเวียน 8 ก.ย.นี้
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เปิดเผยว่าผลการเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 1.90 บาท/หุ้น ปรากฏว่าได้รับการตอบรับในการจองซื้อหุ้นไอพีโออย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน ภายหลังจากการเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยหนุนมาจาก กระแสหุ้น IPO ที่กำลังมาแรงและราคาเสนอขาย IPO ที่เหมาะสม
ทั้งนี้ หุ้น SCM จะเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มพาณิชย์ วันที่ 8 กันยายน 2563
“SCM ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ โดยนักลงทุนให้การตอบรับอย่างอบอุ่น มีความต้องการซื้อหุ้นเข้ามาเต็มทั้งจำนวนที่เสนอขาย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อหุ้น SCM ในฐานะผู้นำธุรกิจขายตรง ที่มียอดขายสูงถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี และนักธุรกิจในเครือข่ายประมาณ 1.8 แสนคนทั่วประเทศ
โดยราคาเสนอขาย IPO ดังกล่าว ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ก่อนการเพิ่มทุน เท่ากับ 13.86 เท่า ซึ่งบริษัทฯ ยังมีโอกาสเติบโตในอนาคตอีกมาก จากปัจจัยเรื่องแผนขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเมียนมา และปัจจัยเรื่องโรงงานผลิตสินค้าแห่งใหม่ที่จะหนุนมาร์จิ้นให้สูงยิ่งขึ้น”
ด้านนายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวว่าขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านเป็นอย่างมากที่ให้ความสนใจกับหุ้นของ SCM หลังจากเปิดจองซื้อในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการะดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งรวมถึงแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขาย สอดรับกระแสผู้บริโภคในยุค New Normal
“ทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าของเราจะมีการสำรวจตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อออกโปรดักส์ใหม่ 1-2 ผลิตภัณฑ์ทุกเดือน เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งทำให้สินค้าของ SCM ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพผ่านผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐาน”
ทั้งนี้ SCM ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในรูปแบบ Network Marketing ผ่านนักธุรกิจในประเทศและตัวแทนจัดจำหน่ายต่างประเทศ โดยดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
1) กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย จำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศ เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ สามารถจำแนกเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าใช้ในครัวเรือน 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี 7. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยส่วนใหญ่ใช้ตราสินค้าของผู้จัดจำหน่ายภายนอก
2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา เพื่อสนับสนุนธุรกิจเครือข่ายในประเทศและตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่มีเครือข่ายสมาชิกและฐานลูกค้าเป็นของตนเอง และ
3) กลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า เพื่อดำเนินการเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้แก่บริษัทภายในกลุ่ม SCM
ขณะที่ นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวเสริมว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับธุรกิจขายตรงของประเทศไทย และ SCM ถือเป็นผู้นำในธุรกิจขายตรงและที่สำคัญคือเป็นแบรนด์ของคนไทยเจ้าแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สำเร็จ ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ มีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
ทั้งนี้ SCM มีสมาชิกประมาณ 1.8 แสนคนทั่วประเทศ มีสาขาเพื่อกระจายสินค้าอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทย 23 แห่ง ยอดขายในช่วงที่ผ่านมาโตทะยานแตะ 1,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ เพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้าในประเทศแถบ AEC ประกอบด้วยประเทศ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้กับ SCM ทั้งในส่วนของการขยายฐานสมาชิก และการบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ และกำไรเติบโตในอนาคต เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ ช่วยเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”