พาราสาวะถี

อรชุน

ปวดกบาลเสร็จ ก็กุมขมับต่อ จิ๊กซอว์ที่จะนำมาเติมในทีมเศรษฐกิจฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทนที่ ปรีดี ดาวฉาย ที่ไขก๊อกออกไปจะเป็นใครดี เพราะก่อนหน้าที่จะได้อดีตประธานสมาคมธนาคารไทย และ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ มาร่วมงานนั้นก็เหนื่อยยากแสนสาหัสในการเจรจาอยู่แล้ว หนนี้ยิ่งจะยากหนักเข้าไปอีก เพราะโจทย์มีให้เห็นแล้วทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สาหัสกับการผ่านด่านการเมืองที่เล่นเกมกันอยู่ตลอดเวลา

ครั้นจะหันไปหาคนในพรรคสืบทอดอำนาจกับเก้าอี้ที่ว่างอยู่ก็ไม่มีตัว ที่สำคัญคือ การจะตั้งคนในกุมบังเหียนในตำแหน่งนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีต้นทุนทางสังคมสูง สร้างความเชื่อมั่นในทันทีที่เข้ามา ด้วยสเปกเช่นนี้จึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ส่วนที่มีคนยุส่งว่าท่านผู้นำก็ควบตำแหน่งนี้ไปเองเสียเลยเพราะไหน ๆ ก็นั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอยู่แล้ว จะได้แสดงศักยภาพให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้มีความรู้แจ้งเห็นจริงในทุกมิติ แล้วก็สละเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหมให้พี่ใหญ่ไป หวังว่าท่านผู้นำคงไม่บ้าจี้ทำตาม

คงไม่เร็วในการที่จะหาคนใหม่มาแทน ช่วงนี้ก็ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการรักษาการไปก่อน เพราะจะว่าไปตั้งแต่ปรีดีเข้ามาทำหน้าที่ ยังไม่มีการขยับอะไรที่สร้างความฮือฮาหรือมองเห็นภาพว่า การขยับตัวทางด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเรือเหล็กจะไปในทิศทางใด มาจนถึงนาทีนี้ก็ยังเข้าข่ายมะงุมมะงาหรากันอยู่ เงินกู้ฟื้นฟูโควิด-19 จำนวน 4 แสนล้าน ที่วางการขยับเป็นระยะนั้น ระยะแรกเวลาผ่านไปร่วมสองเดือนยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ยิ่งมาประจวบเหมาะกับช่วงขาลงเจอแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงจากม็อบของคนหนุ่มสาว จึงทำให้ก้าวย่างในด้านอื่นต้องคิดกันหนัก เพราะในมิติทางการเมืองแค่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อคลายความกดดันจากข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมก็ยุ่งยากอยู่แล้ว วันนี้ องคาพยพทางด้านการเมืองจึงสาละวนอยู่กับปมดังว่า ขณะที่การแก้เกมด้วยม็อบไว้ชนม็อบ ก็เป็นหนทางที่ไม่ใช่จะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ไปต่อ ดีไม่ดีจะเป็นการโบกมือดักกวักมือเรียกเผด็จการชุดใหม่เข้ามาแทนที่เสียอีก

หากยึดแนวคิดที่ว่าเมื่อไม่สามารถทำให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้ และตัวเองก็ยังมองไม่เห็นทางลงจากหลังเสือที่จะไม่ต้องเจ็บตัว การที่จะมีคณะรัฐประหารชุดใหม่เข้ามาหยุดทุกอย่างแล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาทิ้งไป น่าจะเห็นหนทางที่ทำให้ได้กลับบ้านโดยไม่เจ็บตัว เรื่องที่ว่าจะถูกคณะยึดอำนาจเล่นงานโน่นนี่นั่น คงไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนกันเองเข้าใจในหัวอกกันอยู่แล้ว เว้นเสียแต่จะต้องแสดงบทบาทให้เกิดความยำเกรงต่อคนทั่วไปในช่วงต้นนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะมีรัฐประหารแน่นอน แต่ด้วยสถานการณ์หากมองโดยทั่วไปก็จะเห็นว่าไม่มีอะไร ทว่าในเชิงลึกมันมีความเคลื่อนไหวที่บรรดาคนหาข่าวทั้งหลายจับตามองกันอยู่ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่ได้ตรงกันในหลาย ๆ สำนักจึงจะยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ตอนนี้เริ่มมีควันก็หวังว่าจะสามารถดับกันได้ โดยที่ไม่ต้องให้เกิดเพลิงไหม้ ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงสภาพบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

ช่วงนี้จึงอย่าได้แปลกใจที่จะมีคำชี้แจงมาจากกองทัพบกถี่ยิบกรณีการเคลื่อนย้ายรถถังและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ใช่การเตรียมความพร้อมก่อการอย่างที่ทุกคนคิด แต่เป็นการเคลื่อนย้ายมาจัดแสดงในกรุงเทพฯ และส่วนหนึ่งเป็นการขนกองกำลังกลับหลังจากเสร็จสิ้นการฝึก ต้องยอมรับความจริงกันว่า การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ใช้ยุทธวิธีลับ ลวง พรางกันอย่างดี ส่วนหนล่าสุดก็ทุบโต๊ะเปรี้ยงกลางวงเจรจา แต่ก็เป็นการเตรียมการกันมาอย่างดีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายการเมืองไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นปลายทางประเทศไทยก็จะต้องมีเลือกตั้งอยู่ดี จึงต้องเดินหน้าทำในสิ่งที่เป็นแนวคิดและทิศทางของพรรคที่ตัวเองสังกัดต่อไป ดังนั้น พรรคการเมืองส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ ด้วยหวังว่าจะไม่เกิดการฉีกทิ้งกลางทาง เว้นเสียพรรคก้าวไกลที่ไม่ได้สนใจต่อเป้าหมายร่วมในครั้งนี้ โดยที่หากเกิดการรัฐประหารก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ที่ไปพูดไว้กับคนหนุ่มสาวจะลุกขึ้นมาร่วมต่อต้านนั้นทำจริงหรือไม่

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากยึดตามที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอ หนทางที่จะก้าวไปถึงการเกิดส.ส.ร.ก็มีอยู่มากเหมือนกันถ้าไม่เกิดการเบี้ยวกันเสียก่อน เพราะการแบ่งขยักให้เกิดการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาเสียก่อน จากนั้นก็ไปทำประชามติเมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ก็จะเป็นกระบวนการในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยการจัดตั้งส.ส.ร. ซึ่งประเด็นที่มาของส.ส.ร.นี่แหละที่น่าจะเป็นปมถกเถียงกันมากกว่าว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบไหน

ในสูตรของพรรคร่วมรัฐบาล อาจเป็นเพราะต้องการดึงแนวร่วมหรือซื้อใจส.ว.เพื่อให้มาร่วมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือเปล่า จึงมีช่องส.ส.ร.ที่มาจากการสรรหาจำนวน 50 คนแบ่งเป็น 3 ส่วน ที่น่าสนใจคือ มาจากสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เลือกผู้ทรงคุณวุฒิตามอัตราส่วนโดยใช้ข้อบังคับของรัฐสภาโดยอนุโลม โดยมุมของพรรครัฐบาลต้องการให้สัดส่วนนี้เป็นตัวแทนของฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนที่ถูกหยิบมาโจมตีได้ว่า นักการเมืองไม่ควรเข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้

เมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้แล้ว คงต้องให้ส.ส.และส.ว.ไปว่ากันในชั้นการประชุมร่วมของรัฐสภา เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ได้หารือกันแค่สภาผู้แทนราษฎร ท่ามกลางความคาดหวังว่าการประชุมที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการช่วยกันเสนอหาทางออกเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ไม่ใช่เวทีวิวาทะระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล หรือฝ่ายสภาเลือกตั้งกับสภาลากตั้ง หากเป็นเช่นนั้นบอกได้คำเดียวว่าตัวใครตัวมัน ไม่มีวันที่จะแก้กฎหมายสูงสุดของประเทศที่สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน

แจกอีกแล้วจ้า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือศบศ.ที่ท่านผู้นำนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน เคาะแจกเงินคนละ 3,000 บาท สำหรับคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 15 ล้านคน เพื่อไปจับจ่ายซื้อของเหมือนโครงการชิมช้อปใช้ เป้าหมายลดค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมการบริโภค และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไปที่ครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย หวังว่าคงจะไม่ซ้ำรอยโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่แจกแล้วโดนด่า (ฮา)