ราคาน้ำมันดิบทำนิวโลว์ต่อเนื่อง หลุด 40 เหรียญฯ
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับตัวลดลงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสถือว่ามีการซื้อ-ขายระหว่างวันที่ลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปีครึ่ง ที่ระดับ 39.86 เหรียญฯ หลังมีรายงานตัวเลขหลุมขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับตัวลดลงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ส.ค.58) โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสถือว่ามีการซื้อ-ขายระหว่างวันที่ลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปีครึ่ง ที่ระดับ 39.86 เหรียญฯ หลังมีรายงานตัวเลขหลุมขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์โดย Baker Hughes ปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 หลุม สู่ระดับ 647 หลุม หลังราคาน้ำมันดิบยืนที่ระดับสูงกว่า 60 เหรียญฯ เมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว
โดยราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขดัชนีภาคการผลิตจีน (Flash Caixin/Markit PMI) เดือน ส.ค. ที่ประกาศเมื่อวันศุกร์พบว่าปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับแต่เดือน มี.ค. ปี 2552 ที่ 47.1 จากระดับ 48.7 เมื่อเดือน ก.ค. และถือว่าต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ที่ 47.7 โดยตัวเลขที่ลดลงเป็นผลมาจากทั้งการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่ลดน้อยลง ทั้งนี้จึงส่งผลให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากสะท้อนถึงการลงทุนทั้งในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดหุ้นทั้งในเอเชียและสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมาด้วย
นอกจากนี้ สมาชิกของโอเปกเองแม้จะออกมาแสดงความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ลดลงมากอย่างเกินคาดในครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าโอเปกจะลดกำลังการผลิตและส่งออกลงแต่อย่างใด ทั้งมองวากลุ่มจะยังคงผลิตเพื่อรักษาตลาดไว้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้ ความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาว และการสิ้นสุดการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจะช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันกลับมาเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมองว่าการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลก รวมถึงการนำเข้าน้ำมันของจีนเพื่อบริโภคและเพื่อเก็บสำรองจะเป็นแรงหนุนให้ราคาน้ำมันกลับมาเคลื่อไหวที่ระดับเหนือ 60 เหรียญฯ อีกครั้งในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงท้ายของการซื้อ-ขายของวัน หลังในช่วงบ่ายมีข่าวไฟไหม้อันเนื่องจากการระเบิดที่หน่วยกลั่นน้ำมันเบนซินของโรงกลั่น PBF Energy ในเมือง Delaware ของสหรัฐฯ ซึ่งโรงกลั่นนี้มีกำลังผลิตราว 182,000 บาร์เรลต่อวัน โดยหลังข่าวระเบิดนี้ส่งผลให้ราคาซื้อขายน้ำมันเบนซินในตลาดล่วงหน้าดีดตัวสูงขึ้นและส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานมีแนวโน้มล้นตลาดเพิ่มขึ้นในเอเชีย หลังปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สิงคโปร์มีการปรับเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียส่งผลให้ยังคงมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดต่อเนื่อง
ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตลาดคาดว่าการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในอินเดีย สิงคโปร์และจีนในช่วงปลายเดือน ส.ค.- ก.ย. จะส่งผลให้อุปทานล้นตลาดในภูมิภาคปรับลดลง ประกอบกับมีแรงซื้อจากแอฟริกาตะวันออกและมาเลเซียเข้ามาหนุนให้ราคาเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวที่กรอบ 40-45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 45-50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินของกรีซในขั้นต่อไป หลังกรีซได้รับเงินกู้งวดแรกจากกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) มูลค่า 1.3 หมื่นล้านยูโรจากจำนวนเงินกู้ทั้งหมด 8.6 หมื่นล้านยูโรเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้กรีซสามารถจ่ายชำระหนี้มูลค่า 3.2 พันล้านยูโรต่อธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ทันกำหนดในวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงจัยตาการเลือกตั้งครั้งใหม่ของกรีซที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
โดยจับตาว่าจีนจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อจัดการกับเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ดี ล่าสุดคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตัดสินใจขยายระยะเวลาการทบทวนการนำสกุลเงินหยวนของจีนเข้าสู่ตะกร้าสกุลเงิน SDR (Special Drawing Right) ออกไปอีก 9 เดือน จากเดิมวันที่ 31 ธ.ค.2558 ไปเป็นวันที่ 30 ก.ย.2559 โดย IMF ให้เหตุผลว่ายังคงต้องการใช้เวลาเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาประเด็นนี้อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ แต่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่รายงานโดย Baker Hughes ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากำลังผลิตของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยอัตราการผลิตน้ำมันดิบในรัฐ North Dakota ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 8,500 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน มิ.ย.เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันด้วย
ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC
ที่มา หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ ประจำวันที่ 24 ส.ค. 2558