ความเชื่อมั่นพลวัต2015

คนโบราณยุคก่อนมีศาสนาเชื่อตามความรู้เดิมของสังคมเกษตรว่า มีเทพประจำฤดูกาล ที่สามารถกุมชะตากรรมของผู้คนและการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้นจารีต การสร้างเทพหรือเทพีแห่งฤดูกาลขึ้นมาบูชาจริงเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ


คนโบราณยุคก่อนมีศาสนาเชื่อตามความรู้เดิมของสังคมเกษตรว่า มีเทพประจำฤดูกาล ที่สามารถกุมชะตากรรมของผู้คนและการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้นจารีต การสร้างเทพหรือเทพีแห่งฤดูกาลขึ้นมาบูชาจริงเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

ผู้นำทางอำนาจของสังคมโบราณจึงพยายามใช้จารีตของการสมสู่ระหว่าง ต้นตระกูลกับเทพหรือเทพีเพื่อสร้างสิทธิธรรมทางอำนาจขึ้น

ปัจจุบันยุคหลังศาสนา มนุษย์เปลี่ยนจารีตเก่ามาสู่ยุคใหม่ด้วยเครื่องมือใหม่ ที่มากกว่าเทพหรือเทพีที่เสื่อมพลังลงไปหลากหลาย

นักลงทุนของตลาดเก็งกำไรทั้งหลายในปัจจุบัน เครื่องมือแทนที่เทพหรือเทพีคือ ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค แต่ทั้งสองปัจจัย ยังมีความสำคัญน้อยกว่าคำว่าความเชื่อมั่น เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่มีความหมายเชิงจิตวิทยาอย่างมาก

ลำพังความเชื่อมั่นหรือไม่เชื่อมั่นของคนเดียวอาจไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าสะสมเป็นความเชื่อมั่นรวมหมู่หรือไม่เชื่อมั่นรวมหมู่เข้าย่อมเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ

เมื่อใดที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เห็นสวรรค์เป็นนรก ต่อให้นักวิเคราะห์จะเชียร์แขกมากเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีผลให้แรงซื้อขายในตลาดกระเตื้องขึ้นมากนัก เพราะความกลัวมีบทบาทชี้นำทาง แต่เมื่อใดความเชื่อมั่นมากเกินไปจนเห็นนรกเป็นสวรรค์ เสียงเตือนของ เจมินี่ คริกเก็ต ก็ไร้ความหมาย เพราะความโลภชี้นำทาง

ปีนี้ความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยเหือดหายต่อเนื่องนานหลายเดือน เหตุผลเขาง่ายมากเพราะปัจจัยภายในและภายนอกรุมเร้าต่อเนื่องเป็นระยะๆ

เริ่มต้นนับแต่ค่าพี/อีตลาดไทยที่สูงเกินจริงตกค้างจากปลายปีก่อนสวนทางกับการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของรัฐบาล ผสมกับแรงกดดันเรื่องเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ตามด้วยวิกฤตหนี้กรีซ ราคาน้ำมันและโภคภัณฑ์ดิ่งเหว ก่อนจะมาที่หยวนลดค่า แล้วหุ้นปรับฐานใหญ่ล่าสุด

ปัจจัยเชิงลบที่สั่งสมและทับถมมีผลต่อการบั่นทอนความเชื่อมั่นจากบวกเป็นลบ แต่ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เหือดหายนี้ มีอารมณ์ความรู้สึกที่เกินเลยปะปนอยู่ เพื่อนรักและพี่ใหญ่ของอารมณ์ดังกล่าวคือ ความกลัว  ทำให้ความโลภถูกกด  ดันเอาไว้จนมิด 

ดัชนีหุ้นทั่วโลกที่ทำให้เกิดแบล็กมันเดย์สัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงต้นสัปดาห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของความกลัวและไม่มั่นใจทั้งสิ้น

สำหรับตลาดหุ้นไทย ความกลัวและการขาดความเชื่อมั่นแบบรวมหมู่ของนักลงทุน เริ่มต้นจากต่างชาติลามมาพอร์ตโบรกเกอร์และกองทุนรวม ท้ายสุดจบที่รายย่อยในยามนี้ ทำให้ตลาดห่อเหี่ยว เข้าข่ายภาวะหมีอย่างชัดเจน 

วอลุ่มซื้อขายประจำวันที่หดหายไป ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่มั่นใจของนักลงทุน ไม่ใส่ใจกับคำชี้ชวนของบรรดานักวิเคราะห์ ที่พากันออกมาชี้แนะว่า ราคาหุ้นบางรายการต่ำมากไปแล้ว หรือเข้าเขตขายมากเกินไป  โดยเฉพาะหุ้นที่ผู้บริหารขยันสร้างงานและผลประกอบการรองรับการเติบโตในอนาคตจำนวนมาก เพราะเอ่ยไป นักลงทุนก็ไม่ใส่ใจซื้อ เนื่องจากกลัวซื้อแล้วติดหุ้นต่อ แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะมาตรการคุมหุ้นร้อนของตลาดเอง

หากไม่ลืมปลายปีที่แล้ว ผู้บริหารของโบรกเกอร์หลายรายเกิดเฮี้ยนขึ้นมา เริ่มกังวลว่า หุ้นร้อนแรงจำนวนมากในตลาดเข้าข่ายหุ้นปั่นอยากสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง จึงรวบรวมพลังเสนอแนะมาตรการ 3 ขั้นคุมหุ้นร้อนขึ้นมา จนก.ล.ต.เห็นเพี้ยนตามด้วย ผลลัพธ์ คือ ค่าเฉลี่ยมูลค่าซื้อขายประจำวันตลาดลดฮวบฮาบมาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะรายย่อยที่นิยมนั้นต่ำกว่า 5 บาทลงมา ถูกลดสถานะลงเป็นพลเมืองชั้นสองด้อยคุณภาพของตลาด

มูลค่าซื้อขายที่หดหายไปนี้ไม่ได้แก้ปัญหาหุ้นร้อนแม้แต่น้อย เพราะจนถึงวันนี้หุ้นร้อนมีเกลื่อนตลาดกว่า 250 รายการ ถือว่ามาตรการดังกล่าวได้ไม่คุ้มเสีย

เสียงวิจารณ์ด้านหนึ่งที่น่ารับฟังแม้จะยังไม่มีการพิสูจน์ความถูกต้องเชิงสถิติคือว่าผู้บริการหลักของตลาดมีทัศนคติทางลบต่อการขึ้นของหุ้นขนาดเล็กที่รวดเร็วแต่วางเฉยต่อหุ้น ที่ราคาร่วงผิดปกติ เพราะผู้บริหารตลาดบางคนมาจากความชำนาญในตลาดตราสารอนุพันธ์เห็นหุ้นตกเป็นโอกาสทำกำไรแบบหนึ่ง จึงไม่ใส่ใจกับการร่วงของราคาหุ้นมากมายอะไร ตายด้านเสียด้วยซ้ำ

ไม่ว่าสาเหตุของวอลุ่มตลาดประจำวันจะเกิดจากสาเหตุไหน แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือนับแต่เกิดปรากฏการณ์ความไม่เชื่อมั่นครอบงำตลาด นอกจากคำปลอบโยนว่าผลประกอบการยังดีหรือตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานแกร่งแล้ว ความพยายามที่จะสื่อสารให้เกิดบรรยากาศที่เป็นไปเชิงบวกเพื่อให้นักลงทุน เกิดอารมณ์ที่คึกคักไม่ห่อเหี่ยว แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย จะเพราะมีการทำตัวไม่ถูก หรือเจตนาเข้าเกียร์ว่าง ไม่อาจทราบได้

ทางทฤษฎี ความไม่เชื่อมั่น คือการสูญเสียโอกาสในการซื้อที่สำคัญ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้เกินเลย เพราะโอกาสจะอ้างเอาค่าพี/อีล่วงหน้ามาชี้แนะเหมือนเศรษฐกิจยังดีตามปกติ ถือว่ายากเต็มกลืน

คำถามสำคัญที่จะต้องตั้งประเด็นขึ้นมายามนี้ อยู่ที่ว่า จะฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร

โจทย์นี้ท้าทายยิ่งเหมือนเส้นผมบังภูเขา 

ใครตอบได้ก่อนกำไรงาม

ใครตอบช้าขาดทุน 

 

Back to top button