“สภาพัฒน์” ปรับแผนแม่บท พัฒนาศก.-สังคม ขับเคลื่อนประเทศ หลังฝ่าวิกฤต “โควิด”
“สภาพัฒน์” ปรับแผนแม่บท พัฒนาศก.-สังคม ขับเคลื่อนประเทศ หลังฝ่าวิกฤต “โควิด”
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดการประชุมประจำปี 2563 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ทั้งนี้ การประชุมใหญ่ทางวิชาการได้จัดขึ้นทุกปี เพื่อนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคมในหัวข้อที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
โดยในปีนี้ เนื่องจากเป็นระยะครึ่งทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ.2561-2565) สศช.ได้ติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี โดยมีการวิเคราะห์และรายงานผลการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลการพัฒนาตามตัวชี้วัดที่สำคัญต่างๆ ที่กำหนดในแผนฯ 12 ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีการพัฒนาต่างๆ จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงและบริหารจัดการภารกิจที่รับผิดชอบ ทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2565) ซึ่งเป็นแผนที่วางรากฐานสำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาในช่วง 5 ปีแรก ของยุทธศาสตร์ชาติ โดยในระยะครึ่งทางแผนฯ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ.2561-2565) นั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งบริบทโลกและบริบทในประเทศ ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว และการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นหรือการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในหลายเรื่อง เช่น เทคโนโลยีพลิกโลก (Disruptive Technology) การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ที่อาจส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและแง่ลบต่อการพัฒนาประเทศในหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริบทโลกที่มากระทบ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาประเทศ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและเชิงนโยบายภายในประเทศที่ส่งผลเอื้อต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และยุทธศาสตร์ชาติ อย่างไรก็ตาม บางบริบทกลับเป็นความท้าทายหรือเป็นอุปสรรคที่ประเทศไทยจะต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้
นายทศพร กล่าวว่า การพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกและสถานการณ์ภายในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และการเมือง รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีความพยายามในการดำเนินการเพื่อผลักดันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแนวทางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ส่งผลให้การพัฒนาในบางมิติดีขึ้น แต่ยังคงมีการพัฒนาในบางด้านยังล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
จากเหตุการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เกิดวิถีแนวใหม่ที่ทุกคนต้องปรับวิธีการในการใช้ชีวิตแบบใหม่ ที่เรียกว่า ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) จึงต้องมีการปรับแนวทางการพัฒนา โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) สร้างสมดุลของมนุษย์และธรรมชาติ 2) สร้างสมดุลของปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของมนุษย์ในสังคม และ 3) สร้างการเติบโตอย่างพอเพียง
ด้วยเหตุนี้ แนวทางใหม่ของการพัฒนาประเทศช่วงหลังของแผนฯ 12 และการเชื่อมโยงไปสู่แนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงประกอบด้วย 1) ปรับจุดอ่อน เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สามารถรองรับ New Normal ลดความเหลื่อมล้ำและเกิดความยั่งยืน และ 2) เสริมจุดแข็งเดิม สร้างจุดแข็งใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น
เลขาธิการ สศช. กล่าวด้วยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สศช. จึงจำเป็นต้องทบทวนแนวทางการพัฒนาประเทศใหม่ เพื่อนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 และพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤติอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ตลอดจนตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ควรสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้แนวคิด Resilience จำเป็นต้องมีการพัฒนาความสามารถของประเทศใน 3 ด้าน ดังนี้ 1. Cope หรือ พร้อมรับ เป็นความสามารถในการต้านทาน เยียวยา และฟื้นสภาพจากวิกฤติ 2. Adapt หรือ ‘ปรับตัว’ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น 3. Transform หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมเติบโต ความสามารถในการพลิกโฉม
“หากประเทศไทยมีความสามารถทั้ง 3 ด้าน จะช่วยให้เป็นประเทศที่พร้อมเผชิญสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะรวดเร็วหรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม และสามารถที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยความระมัดระวังและรอบคอบสู่จุดหมายการพัฒนาที่เหมาะสม มีสมดุล และยั่งยืน” นายทศพร กล่าว
นอกจากนี้ ผลกระทบและวิถีการดำเนินชีวิตที่พลิกโฉมไปหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องมีการทบทวนและปรับแก้ไขแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเร็วกว่าปกติ ที่เคยกำหนดไว้ให้มีการปรับทุก ๆ 5 ปี
การปรับแผนแม่บทในครั้งนี้ จะปรับเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากวิกฤติการณ์โควิด-19 เท่านั้น และอยู่บนพื้นฐานแนวคิด “Resilience” โดยการปรับแผนแม่บทดังกล่าวจะต้องมีความสอดคล้องกับครึ่งหลังของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และต่อเนื่องไปยังแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ต่อไป และจะหยิบยกประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ต้องมีการขับเคลื่อนผลักดันหลังวิกฤติโควิด-19 มาพิจารณาจัดทำเป็นแผนแม่บทหลังสถานการณ์ โควิด-19
โดยมีการกำหนดประเด็นการพัฒนาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ดังนี้ 1.การเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ 2. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 3. การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ 4. การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ
“แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นแผนที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนในประเทศ และเป็นแผนที่ไม่ได้มองเฉพาะการแก้ปัญหาระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่มุ่งเน้นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาวด้วย อีกทั้ง สศช. ยังได้จัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจหลังวิกฤติการณ์โควิดขึ้น รวมทั้งปรับจุดเน้นของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอีก 23 ฉบับ ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในระยะต่อไปหลังจากนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติน่าจะมีความพร้อมมากขึ้น” เลขาธิการ สศช.กล่าว
ทั้งนี้ สศช. จะเริ่มกระบวนการวางกรอบแนวคิดและทิศทางการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะดำเนินการขับเคลื่อนหลายประเด็นที่ต่อเนื่องจากแผนฯ 12 มีกรอบแนวคิด “ล้มแล้ว ลุกไว” ในการกำหนดทิศทางและแนวทางการพัฒนา และที่สำคัญแนวทางต่าง ๆ ที่จะกำหนดในแผนฯ 13 จะต้องสอดคล้องกับการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเดินหน้าต่อไปจนบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ในที่สุด ดังนั้น การนำเสนอผลการพัฒนาที่ผ่านมา และการระดมความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นท้าทายและแนวทางการปรับตัวของประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ด้วยดี