MENA ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 184 ล้านหุ้น เดินหน้าเทรด SET นำเงินขยายธุรกิจเต็มสูบ
MENA ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 184 ล้านหุ้น เดินหน้าเทรด SET นำเงินขยายธุรกิจเต็มสูบ
นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA ยื่นคำขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ filing) แบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้ว เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในครั้งนี้
สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ของ MENA ในครั้งนี้ จำนวนไม่เกิน 184 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ บริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 367 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 275 ล้านบาท
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต จ่ายคืนหนี้สิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ โดยมี โครงสร้างผู้ถือหุ้นของ MENA ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ กลุ่มครอบครัวขจรวุฒิเดช สัดส่วน 93.9% และภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ เหลือสัดส่วน 70.4%
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมอีกว่า การยื่นไฟลิ่งในครั้งนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเข้ามาระดมทุน ขยายการเติบโตในธุรกิจให้บริการรับส่งสินค้าด้วยรถลากจูงและรถผสมคอนกรีต ที่บริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพและการขยายโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ มีความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้าและพันธมิตร อีกทั้งยังเป็นการมุ่งสู่ความมั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว
ทั้งนี้ MENA มีการแบ่งการประกอบธุรกิจออกเป็น 3 หน่วยธุรกิจ โดยธุรกิจหลักคือ 1) บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง มีความสามารถในการทำกำไรโดดเด่น และเป็นรายได้หลักของบริษัท ในสัดส่วนกว่า 65% ของรายได้รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 MENA มีรถมิกเซอร์รวมทั้งสิ้น 466 คัน ให้บริการทั้งรถมิกเซอร์ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพปริมณฑล และหัวเมืองสำคัญ
อาทิ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง เป็นต้น โดยได้รับความไว้วางใจจากบริษัทปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศ อาทิ บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด (INSEE) บริษัท เอเซียผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ จำกัด (BUA Concrete) และ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) รวมถึงบริษัทผู้ผลิตท้องถิ่นอื่นๆ ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
2) ธุรกิจขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกแบบหัวลาก – หางพ่วง (Trailer) โดยมีสินค้าหลักประเภทวัสดุก่อสร้างและวัตถุดิบอุตสาหกรรม เช่น ปูนผง คอนกรีตผสมเสร็จ แร่วัตถุดิบ ขี้เถ้าลอย (Fly Ash) เป็นต้น และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 MENA มีรถเทรลเลอร์ (หัวลาก) ให้บริการรวมทั้งสิ้น 83 คัน และมีรถกึ่งพ่วง (หางลาก) ประเภทต่าง ๆ รวม 104 คัน
3) ธุรกิจการขายสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง เช่น คอนกรีต ปูนซีเมนต์ถุง ปูนซีเมนต์ผง และขี้เถ้าลอย ให้แก่ลูกค้า ซึ่งส่วนมากเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และไม่ได้เข้าทำสัญญาเป็นตัวแทนขายสินค้าให้บริษัทผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะเพื่อความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ โดย MENA จะทำการติดต่อซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตคอนกรีตที่มีชื่อเสียง หรือจากผู้ผลิตท้องถิ่น โดยดำเนินธุรกิจแบบซื้อมาขายไป เพื่อความครบวงจรและสามารถบริหารสภาพคล่องของ MENA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี MENA มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจขนส่งมากกว่า 27 ปี และได้ทำการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายประเภทของธุรกิจและการเพิ่มจำนวนรถขนส่ง เพื่อรองรับการขยายงานเพิ่มมากขึ้น ตามการเติบโตของงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยจะทำการขนส่งสินค้าชนิดต่างๆ ให้กับคู่ค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ
เช่น ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงโอกาสในการขยายงานใน EEC เป็นต้น ปัจจุบัน MENA เป็นผู้ขนส่งให้แก่บริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ และบริษัทขนส่งรายใหญ่หลายบริษัท ทั้งยังมีการรับงานขนส่งที่หลากหลาย สำนักงานใหญ่ของ MENA ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี และมีสาขาอีก 4 แห่ง ได้แก่ สาขาลาดกระบัง สาขาราชเทวี สาขาระยอง และสาขาขอนแก่น ส่งผลให้ MENA มีการเติบโตของรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคง
สำหรับผลประกอบปี 2562 มีรายได้รวม 703.7 ล้านบาท รายได้หลักมาจากค่าขนส่งและค่าบริการในสัดส่วนที่มากกว่า 90% ของรายได้รวมทั้งหมด แบ่งเป็นรายได้มาจากค่าขนส่ง 28% รายได้ค่าบริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-to-mix concrete) 67% รายได้จากการขาย 4% รายได้อื่นๆ เกือบ 1% ด้านกำไรสุทธิงวดปี 2562 อยู่ที่ 37.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.3%
และงวด 6 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้รวม 333.0 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 19.1 ล้านบาท และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.8% อัตรากำไรสุทธิที่ดีขึ้น สืบเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนหนี้อย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้กำไรสุทธินั้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต