หุ้นลงต่อ ก่อนดีขึ้น
ตลาดหุ้นได้เกิดความกังวลขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาและเศรษฐกิจ หลังจากที่มีรายงานว่าอังกฤษและหลายประเทศในยุโรป เตรียมจะชัตดาวน์อีกรอบเนื่องจากวิกฤติไวรัสโคโรนายังรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีข้อมูลรั่วออกมาว่า สถาบันการเงินทั่วโลกได้ช่วยฟอกเงินเป็นเงินจำนวนมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงกดดันหุ้นกลุ่มการเงินและธนาคารอย่างหนัก แรงเทขายที่สั่นคลอนทางเทคนิคอยู่แล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก
พลวัตปี 2020 : ฐปนี แก้วแดง (แทน)
ตลาดหุ้นได้เกิดความกังวลขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาและเศรษฐกิจ หลังจากที่มีรายงานว่าอังกฤษและหลายประเทศในยุโรป เตรียมจะชัตดาวน์อีกรอบเนื่องจากวิกฤติไวรัสโคโรนายังรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีข้อมูลรั่วออกมาว่า สถาบันการเงินทั่วโลกได้ช่วยฟอกเงินเป็นเงินจำนวนมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงกดดันหุ้นกลุ่มการเงินและธนาคารอย่างหนัก แรงเทขายที่สั่นคลอนทางเทคนิคอยู่แล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก
แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า แรงเทขายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อวันจันทร์ แตกต่างจากการปรับตัวลงในเดือนนี้ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่หุ้นเทคโนโลยีและหุ้นที่อ่อนไหวต่อการเติบโต แรงเทขายเมื่อวันจันทร์ อยู่ที่หุ้นที่อ่อนไหวต่อวงจรเศรษฐกิจที่ได้ปรับตัวขึ้นเพราะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดแรงเทขายรุนแรงเพราะนักลงทุนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่น่าจะต้องกังวล ความกังวลใหม่ อย่างแรกคือ หลายประเทศในยุโรปกำลังเริ่มเห็นจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องมีการชัตดาวน์ประเทศกันอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของอังกฤษได้ออกมาเตือนว่า อังกฤษอาจมีผู้ติดเชื้อใหม่เกือบ 50,000 คนต่อวันในกลางเดือนตุลาคมหากไม่ดำเนินการใด ๆ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงเทขายมากคือ เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ หลังจากที่ รูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ เสียชีวิตลง พรรครีพับลิกันได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแต่งตั้งคนมาแทนโดยทันที แต่พรรคเดโมแครตพยายามผลักดันให้เลื่อนการแต่งตั้งไปจนหลังจากประธานาธิบดีคนใหม่เข้าพิธีสาบานตนแล้ว ในเดือนมกราคมปีหน้า
เรื่องนี้ทำให้การแบ่งแยกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วในสหรัฐฯ มีความรุนแรงมากขึ้น และทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากขึ้น และน่าจะทำให้สภาคองเกรสทำงานด้วยกันได้ลำบากเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวน้อยนิดอยู่แล้ว จึงต้องการการอุดหนุนจากรัฐบาลมากขึ้น ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองมีแนวโน้มกระทบต่อการอุดหนุนเศรษฐกิจเช่นนี้ จึงสร้างความกังวลให้กับตลาดเป็นอย่างยิ่ง
การปรับตัวลงของหุ้นธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แรงเทขายเมื่อวันจันทร์มีความรุนแรง
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เกิดจากการที่ BuzzFeed และสื่ออื่น ๆ ได้เปิดเผย รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสงสัย (SARs) ที่ธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้แจ้งต่อเครือข่ายการบังคับคดีอาชญากรรมทางการเงิน (FinCen) ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนสากล (ICIJ) และองค์กรสื่ออื่น ๆ ได้ร่วมกันเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสงสัยของธนาคาร ซึ่งพบว่า มีมากกว่า 2,100 ธุรกรรมในช่วงปี 2542-2560 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์
แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ รายงานชี้ว่า ธนาคารได้ช่วยโยกเงินโดยผิดกฎหมายให้กับแก๊งฉ้อโกง แชร์ลูกโซ่ และมาเฟียในประเทศต่าง ๆ ทั้งที่ได้รับการแจ้งเตือนแล้วว่าน่าสงสัย
มีการระบุว่า HSBC และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เป็นสองในห้าธนาคารที่มีชื่อในรายงานกิจกรรมที่ต้องสงสัยบ่อยที่สุด และหนึ่งในธนาคารใหญ่สุดในสหรัฐฯ อาจจะได้ช่วยนักเลงชื่อดังรายหนึ่งโยกเงินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
เรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งรวมถึงธนาคารพาณิชย์ของไทยที่มีการระบุว่ามีธุรกรรมการโอนเงินที่น่าสงสัย 92 รายการผ่าน 4 ธนาคารพาณิชย์ของไทย โดยเป็นธนาคารเอกชน 3 แห่ง และธนาคารรัฐ 1 แห่ง คิดเป็นมูลค่ารวม 41,308,752 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการรับเงิน 9,558,752 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการส่งเงิน 31,750,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี หลังจากที่เกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ปิดกระเตื้องขึ้น เพราะได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวของหุ้นแอปเปิลและอเมซอน
นักกลยุทธ์คาดการณ์ว่า หุ้นเทคโนโลยีจะอยู่ในสมรภูมิรบในตลาดต่อไปในสัปดาห์นี้ และจะมีแรงซื้อเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่เป็นที่ชื่นชอบของตลาดอย่างแอปเปิล
เมื่อดูเป็นรายภาค แรงเทขายเมื่อวันจันทร์ ทำให้ภาควัสดุ ได้รับผลกระทบมากสุด ตามมาด้วยภาคพลังงานและอุตสาหกรรม โดยทั้งสามภาคนี้ปรับตัวลงมากกว่า 3% ตามมาด้วยภาคการเงินปรับตัวลงประมาณ 2.5% แต่ภาคเทคโนโลยีได้กลับมาเป็นบวกในชั่วโมงสุดท้าย
สำหรับนักวิเคราะห์บางคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ มองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรการลงทุนและได้มีสัญญาณเตือนหลายอย่างแล้วในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น และโดยรวมแล้วถือว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพตลาด พร้อมแนะนำให้กลับมาซื้อหุ้นเทคโนโลยีอย่างซูม วอลมาร์ท และเพโลตัน และให้เทขายหุ้นที่เกี่ยวกับการเดินทางหรือสันทนาการ
ตามปกติแล้วเดือนกันยายนเป็นช่วงที่ตลาดติดลบตามฤดูกาลและโดยเฉลี่ยแล้วเป็นเดือนที่แย่ที่สุดของปี ในขณะที่เดือนกันยายนกำลังจะผ่านไปและกำลังจะสิ้นสุดไตรมาสอีกครั้ง นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งจึงกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นผลดีต่อหุ้นเมื่อนักลงทุนรายใหญ่ปรับสมดุลการถือครองหุ้นและพันธบัตรใหม่ และคาดว่าหุ้นจะถึงจุดต่ำสุดภายในเดือนตุลาคม และอาจเห็นตลาดปรับตัวขึ้นเมื่อใกล้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ