โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” TACC เป้าใหม่ 8.30 บ. มองธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส

โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” TACC เป้าใหม่ 8.30 บ. มองธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC  แต่ปรับราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นเป็น 8.30 บาท จากเดิมที่ 7.00 บาท อิง PER ที่ 21.6 เท่า ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากงาน SET Opportunity Day วานนี้ (22 ก.ย.20) โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

1) ยอดขายสินค้าเครื่องดื่มของ TACC จาก 7-11 ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดโดยในช่วงไตรมาส 3/63 กลับเข้าสู่ระดับปกติก่อน COVID-19 แล้ว

2) Project upsize (แก้วใหญ่ 22 ออนซ์) ของ All cafe มีสาขาร่วมขายเพิ่มขึ้นเป็น 7,800 (จากสาขา 2,000 สาขาในไตรมาส 2/63 ส่งผลให้ GPM ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 34.7% (+175 bps HoH)

และ 3) รายได้ช่วงครึ่งปีหลังยังโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินค้า health & wellness และการขยาย 7-11 เพิ่มอีก 320 สาขา

ดังนั้นได้ปรับกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น +14% เป็น 201 ล้านบาท (+24% จากปีก่อน) และปี 2564 ขึ้น +18% เป็น 233 ล้านบาท (+16% จากปีก่อน) จากการปรับ GPM ขึ้นและได้รวมรายได้จากการขยาย 7-11 ไปยังประเทศกัมพูชาและลาวในปี 2564 ที่ 12 ล้านบาท (เปิด 100 สาขา/ประเทศ)

ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นและ outperform SET +37% ในช่วง 3 เดือน จากการประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ทำให้ชั่วโมงการขายเครื่องดื่มใน 7-11 เพิ่มขึ้น ปัจจุบันเทรดที่ 2020E PER = 19.3x (-1SD below 5-yr average PER) ซึ่งต่ำกว่า commerce sector (PER ที่ 30 เท่า) ขณะที่กำไรปี 2563-64 จะยังคงเติบโตที่ +24%/+16%

อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกจากการจัด SET Opportunity Day เมื่อวันที่ 22 ก.ย.20 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1) รายได้ช่วงครึ่งปีหลังยังคงเกาะตลาด health&wellness market trend จากเมนูกลุ่ม ชาออร์แกนิค และคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายได้จากการทำการตลาด Afternoon break tea ของ 7-11 (เป็นการโฆษณาเชิญชวนให้กินของว่างคู่กับเครื่องดื่มชา ในช่วยบ่าย)  นอกจากนี้รายได้ยังเติบโตตามการขยายสาขาของ 7-11 โดย 2H20E เราคาดจะเห็นการขยายสาขาเพิ่มอีก 320 สาขา ตามแผนของ 7-11 (ครึ่งปีแรกขยายสาขา 377 สาขา)

2) Project upsize strategy (แก้วใหญ่ 22 ออนซ์) ของเครื่องดื่ม All cafe ปัจจุบันมีสาขาร่วมขายเพิ่มขึ้นถึง +290% เป็น 7,800 สาขา จากเดิมในช่วงเริ่มต้นในเดือน มิ.ย.20 ที่ 2,000 สาขา และคาดว่าจะสามารถขายได้ทั่วประเทศ (ประมาณ 11,800 สาขา) ภายในเดือน ก.ย.20 นี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทได้วางไว้

3) ยอดขายสินค้าเครื่องดื่มของ TACC จาก 7-11 ในช่วง 3Q20 กลับมา เข้าสู่ระดับปกติก่อนการระบาด COVID-19 บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวการบริโภค

พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัยได้ปรับกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น +14% เป็น 201 ล้านบาท (+24% เทียบกับปีก่อน) เป็นผลมาจากการปรับ gross profit margin เพิ่มขึ้นเป็น 34.5% จากเดิมที่ 31.5% เนื่องจาก GPM ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 33.9% ปรับตัวดีขึ้น +360 bps เทียบกับปีก่อน

โดยบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี จากการปรับ product mix ได้ดีกว่าที่คาด แม้จะเจอผลกระทบเคอร์ฟิว ในขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า GPM อยู่ที่ 34.7% ปรับตัวดีขึ้น +175 bps เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จาก Project upsize strategy (แก้วใหญ่ 22 ออนซ์) ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ GPM ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น +18% เป็น 233 ล้านบาท (+16% จากปีก่อน) โดยคาด GPM ยังคงปรับตัวดีขึ้นเป็น 35.5% จากเดิมที่ 32% โดยปีนี้ได้รวมสมมติฐานการขยายสาขา 7-11 ไปยังประเทศกัมพูชาและลาว มีรายได้จากทั้ง 2 ประเทศประมาณ 12 ล้านบาท

โดยเบื้องต้นได้สมมติฐานการเปิดสาขาในกัมพูชา 100 สาขา และลาว 100 สาขา โดยช่วงเริ่มต้นคาดรายได้เฉลี่ยของ TACC/สาขา/ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 บาท (ปี 2564 ประเทศไทย รายได้เฉลี่ยของ TACC/สาขา/ปี =109,600 บาท)

อย่างไรก็ดี ปรับราคาเป้าหมาย TACC ขึ้นเป็น 8.30 บาท จากเดิม 7.00 บาท อิง PER ปี 2564 ที่ 21.6 เท่า ขณะที่ความเสี่ยงคือ รายได้หลัก ณ ไตรมาส 2/63 ยังคงพึ่งพิงรายได้จาก 7-11 มากถึง 95% และการขยายสาขาของ 7-11 น้อยกว่าที่คาด

Back to top button