ได้เวลาสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร

สถิติล่าสุดของโลกที่มีผลให้ตัวเลขผู้ที่เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิน 1 ล้านคนทำให้แรงกดดันต่อเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้น แต่ไม่น่ากังวลเท่าเดิมแล้ว หมายความว่าจากนี้ไป ขาลงของภาวะเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ถือเป็นข่าวดีเล็กน้อยในยามหาข่าวดียากเย็นยิ่งกว่าการหาทางพิสูจน์ว่าไก่หรือไข่ ใครฉลาดกว่ากัน


พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล

สถิติล่าสุดของโลกที่มีผลให้ตัวเลขผู้ที่เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิน 1 ล้านคนทำให้แรงกดดันต่อเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้น แต่ไม่น่ากังวลเท่าเดิมแล้ว หมายความว่าจากนี้ไป ขาลงของภาวะเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ถือเป็นข่าวดีเล็กน้อยในยามหาข่าวดียากเย็นยิ่งกว่าการหาทางพิสูจน์ว่าไก่หรือไข่ ใครฉลาดกว่ากัน

ผลลัพธ์จากการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการของสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563 พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สะสมทั่วโลกถึงเวลา 05.30 น.ของวันจันทร์ เพิ่มเป็น 33,018,877 ราย และมีผู้เสียชีวิตทั่วโลก 1,000,009 ราย สหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยเกิน 200,000 รายแล้ว ตามด้วยบราซิล, อินเดีย, เม็กซิโก และอังกฤษ

ในภาพรวม ภูมิภาคที่สถานการณ์รุนแรงที่สุดคือลาตินอเมริกาและแคริบเบียน มีผู้เสียชีวิตรวมกัน 341,032 ราย จากผู้ติดเชื้อสะสม 9,190,683 ราย แต่ที่อินเดียก็เลวร้ายเกินคาด

เมื่อวานนี้ กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียแถลงว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศเพิ่มเป็น 6.1 ล้านรายแล้ว เสียชีวิตเกือบ 100,000 ราย ขณะที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อสะสม 7.3 ล้านราย และบราซิลติดเชื้อแล้ว 4.7 ล้านราย

ข่าวดีเพียงเล็กน้อย ส่งผลทางจิตวิทยาต่อสัญญาณทางเทคนิคในตลาดหุ้นทั่วเอเชียวานนี้ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่หลายวันของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร่วงลงสู่ระดับขายมากเกิน เป็นตัวชี้นำตลาดให้รีบาวด์กลับในช่วงเวลาของการทำวินโดว์เดรสซิ่งพอเหมาะเจาะ

เมื่อวานนี้ ดัชนีกลุ่มแบงก์ขยับขึ้น 1.50% จากบทวิเคราะห์ถึงข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล โดยกำหนดวงเงินไม่เกินรายละ 2 หมื่นบาทและมีกำหนดระยะเวลาการชำระคืนสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลแต่ละสัญญาไม่เกิน 6 เดือน คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ค่าบริการไม่เกิน 25% ต่อปี พร้อมเปิดทางธนาคารพาณิชย์นำข้อมูลการจ่าย “ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ช็อปออนไลน์” เป็นข้อมูลวิเคราะห์การปล่อยกู้ได้ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้นเท่ากับ ธปท.เปิดช่องโอบอุ้มให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น เบียดแย่งรายได้จากสถาบันการเงินและไฟแนนซ์อื่น ๆ

เท่ากับ กลุ่มธนาคารมีข้อได้เปรียบไฟแนนซ์ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า มีเครือข่ายสาขากว้างขวางทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ธนาคารที่มีสินเชื่อรายย่อยสัดส่วนสูงสุด คือบมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) (79%) เนื่องจากมีเครือข่าย สมหวังเงินสั่งได้ รองลงมาเป็นธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) (61%), ธนาคารทหารไทย (TMB) (56%), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) (48%) และธนาคารกรุงไทย (KTB) (44%)

ราคาหุ้นของ TISCO ที่พุ่งแรง เพราะมีการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และมีฐานเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงที่สุดในกลุ่มที่ 17.2% ให้ราคาพื้นฐาน 1 ปีข้างหน้าเท่ากับ 85 บาท รองลงมาที่ราคาลดต่ำลงมามากคือ KKP ที่มีการปรับเป้าหมายเกิน 50 บาท

ในขณะเดียวกันมุมมองเชิงบวก จากการคาดเดาผลการจัดทำประมาณการฐานะและการดำเนินงานภายใต้ภาวะวิกฤติ (Stress Test) ของธนาคารพาณิชย์ที่จะเปิดเผยในช่วงเดือน ต.ค. นี้ คาดจะผ่านทั้งหมด หลังธนาคารพาณิชย์ไทยค่อนข้างมีระดับเงินทุนสำรองและเงินกองทุนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าหากธนาคารพาณิชย์ผ่าน Stress Test แล้ว คาดจะสามารถกลับมาจ่ายปันผลได้อีกครั้ง หนุนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารรีบาวด์ขึ้นได้

เพียงแต่หุ้นกลุ่มธนาคาร ยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องการตั้งสำรอง เพราะช่วงที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของภาครัฐ ที่อนุญาตให้สามารถยืดระยะการขยายเวลาการชำระหนี้ หรือการเลื่อนชำระค่างวด มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้นั้น จะทำให้งบการเงินของธนาคารไม่ได้สะท้อน NPL ที่เกิดขึ้น จริงในปัจจุบัน เนื่องจากธนาคารจะยังคงระดับความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ไว้ที่ระดับเดิม ก่อนเข้ามาตรการ ทำให้ตัวเลขหนี้เสียต่ำกว่าจริง

นักวิเคราะห์คาดหมายว่า จะเริ่มเห็นสินเชื่อที่เป็น NPL เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ไปจนถึงต้นครึ่งแรกของปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่มีลูกหนี้เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าสินเชื่อในกลุ่มอื่น ๆ ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิลดลงอย่างไม่อาจเลี่ยงพ้น

ขาขึ้นของราคาหุ้นธนาคารในรอบใหม่นั้น จึงไม่อาจ เหมาโหลได้ แต่จะต้องระวังในการคัดสรรพื้นฐานของแต่ละธนาคาร

เพียงแต่การที่หุ้นกลุ่มนี้ร่วงลงมามากกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี SET ทำให้ราคาปัจจุบันปรับตัวลงมากว่า 40% ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้ปัจจุบันมีอัพไซด์ค่อนข้างสูงบางรายมากกว่า 30% ดังนั้นการกลับตัวเพื่อทยอยซื้อสะสมหุ้นธนาคารอย่างระวังระไว จึงเป็นความจำเป็นที่ยากปฏิเสธ

Back to top button