พาราสาวะถี
กะว่าจะเป็นวลีทองของ “บิ๊กบี้” พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถูกถามถึงการใช้กำลังทางทหารเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการเมืองและการบริหารประเทศในการยึดอำนาจ ด้วยประโยคที่ว่า “รัฐประหารเป็นศูนย์” พอพ่วงท้ายมาด้วยปัจจัยที่ว่า ทุกคนทุกฝ่ายต้องเลิกสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรง เท่านั้นแหละ ทุกอย่างเป็นอันหมดกัน ในเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองอย่างที่เห็น ฝ่ายหนึ่งสืบทอดอำนาจและไม่ทำให้บ้านเมืองพัฒนา อีกฝ่ายย่อมต่อต้านและเรียกร้อง
อรชุน
กะว่าจะเป็นวลีทองของ “บิ๊กบี้” พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถูกถามถึงการใช้กำลังทางทหารเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการเมืองและการบริหารประเทศในการยึดอำนาจ ด้วยประโยคที่ว่า “รัฐประหารเป็นศูนย์” พอพ่วงท้ายมาด้วยปัจจัยที่ว่า ทุกคนทุกฝ่ายต้องเลิกสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรง เท่านั้นแหละ ทุกอย่างเป็นอันหมดกัน ในเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองอย่างที่เห็น ฝ่ายหนึ่งสืบทอดอำนาจและไม่ทำให้บ้านเมืองพัฒนา อีกฝ่ายย่อมต่อต้านและเรียกร้อง
ขณะเดียวกัน การอ้างว่าจะต้องสร้างเงื่อนไขให้เป็นศูนย์หรือติดลบ บนบริบทของประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะความเห็นต่างถือเป็นเรื่องธรรมชาติ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การตีความด้วยว่าฝ่ายกุมอำนาจมองความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านด้วยท่าทีที่เป็นมิตร หรือคิดว่าเป็นศัตรู ซึ่งดูจากวิธีการและความพยายามให้คนอีกพวกมาเคลื่อนไหว มันสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า ฝ่ายสืบทอดอำนาจมีเป้าประสงค์อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะคนที่จะต้องเข้าไปเป็นส.ว.โดยตำแหน่ง สิ่งที่ได้ยินมาจากปากของผบ.ทบ.คนใหม่ก็คือ ส.ว.ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะเข้าไปนั่งยกมือเพียงอย่างเดียว แต่คนส่วนใหญ่มองเห็นกันหมดแล้วว่า มันเป็นแบบไหน ที่เด่นชัดที่สุดก็ตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เหล่านี้คือสิ่งที่หากผู้บัญชาการเหล่าทัพอ้างว่าทหารไม่ยุ่งการเมือง ก็ควรจะแสดงออกให้ฝ่ายบริหารเห็นว่าอย่าได้ใช้เสียงข้างมากลากไป เหมือนอย่างที่ตั้งคณะกรรมาธิการยื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญนั่นเป็นตัวอย่าง
ปากก็พล่ามกันว่าที่ผ่านมามีแต่สภาผัวเมีย เผด็จการรัฐสภา แต่ลืมไปส่องกระจกดูว่าตลอดห้วงระยะเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐสภาของประเทศไทยมันเป็นแบบไหนกันแน่ ทั้งรัฐสภาเผด็จการและสภาญาติพี่น้อง เดินกันให้ขวักเต็มไปหมด อย่าได้ไปประณามว่านักการเมืองชั่ว ฝ่ายการเมืองเลว เพราะสุดท้ายใครก็ตามเมื่อเข้ามาอยู่ในอำนาจ ก็เห็นงัดวิชาสารเลวที่นักการเมืองชอบใช้ในการตอบโต้ฝ่ายการเมืองตรงข้าม หรือภาคประชาชนที่เห็นต่างกันทุกราย
ไม่ต่างกันจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ยังคงตอกย้ำประเด็นการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ ที่อ้างเรื่องของการทำตามกฎหมาย ทั้งที่เครื่องไม้เครื่องมือทางด้านกระบวนการยุติธรรมส่วนหนึ่งนั้น ถูกออกแบบมาจากขบวนการหัวหมอของคณะเผด็จการที่ผ่านมา เพื่อหวังใช้เป็นไม้กันหมาให้ตัวเองคงความชอบธรรมต่อการอยู่ในตำแหน่งได้นาน ๆ แต่นี่คือการเมือง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ยิ่งมีปัจจัยเรื่องของปัญหาปากท้องประชาชนที่แก้ไม่ตก การอธิบายใด ๆ จึงถูกมองเป็นเรื่องการแก้ตัวไปหมด
จะว่าไปการเคลื่อนไหวของขบวนการหนุ่มสาว หากมองในมุมของคนที่หวงอำนาจ ก็จะเอาแต่บอกว่าม็อบมีเบื้องหลัง คนเหล่านี้ไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการบริหารบ้านเมืองแม้แต่น้อย แต่ปรากฏการณ์ของกลุ่มนักเรียนเลวกับข้อเรียกร้องที่เดินสายกันไปตามโรงเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร รวมถึงความเคลื่อนไหวของนักเรียนมัธยมในต่างจังหวัดนั้น มันคือภาพสะท้อนให้เห็นว่า เด็กเหล่านั้นมีความตื่นรู้และมีความเข้าใจต่อสภาพปัญหาที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพการศึกษามากกว่าผู้นำประเทศเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า ด้วยความที่เป็นผู้นำจากปลายกระบอกปืน จึงมีแต่แนวคิดที่จะปลูกฝัง ตอกย้ำ สร้างปฏิบัติการณ์ข่าวสารเพื่อล้างสมองให้คนส่วนใหญ่เชื่อและคล้อยตามสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม 12 ประการหรือการปลุกจิตสำนึกเรื่องของการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องเหล่านี้ คนไทยทุกคนต่างถือเป็นหน้าที่และมีการสอนกันมาอยู่แล้วในครอบครัว และสุดท้ายก็เป็นผู้นำเองที่ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีต่อสิ่งที่ตัวเองพร่ำพูดอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วจากการเลื่อนเลือกตั้ง ผิดคำพูดเรื่องขอเวลาอีกไม่นานและการไม่ทำตามสัญญาทั้งที่ตัวเองลงทุนแต่งเพลงเองว่าเราจะทำตามสัญญา ขณะเดียวกันเรื่องการส่งทหารเข้าไปในสถานศึกษาเพื่อล้างสมองนั้น หากเป็นยุคของรัฐบาลเผด็จการก็ยังพอจะเข้าใจได้ว่า มันต้องเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อเปลี่ยนมาสู่ยุคที่ตัวเองอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยแล้ว กระบวนการเหล่านั้นควรต้องหยุดทันที
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กม.ต้นจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช จะแสดงออกว่ารับไม่ได้กับการที่มีทหารเข้าไปในโรงเรียนโดยอ้างว่าเพื่อปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ จนท้ายที่สุดก็เกิดเป็นกระแสแฮชแท็กเบญคอน และเกิดการโจมตีว่าสิ่งที่ทำกันอยู่นั้นเป็นเรื่องของการบ่อนทำลายสิทธิและเสรีภาพของนักเรียน รวมไปถึงการเล่าประวัติศาสตร์ด้านเดียว นี่คือภาพสะท้อนของความจริงที่ว่า ยุคนี้ไม่มีใครรู้มากไปกว่าใครและสามารถชี้นำใครต่อใครได้อีกแล้ว
โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็เข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดีแม้จะไม่เต็มใจทั้งหมดก็ตาม เพราะยังมองว่าต้องสั่งให้ทหารปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือยุติโครงการดังกล่าวนั้นออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย แต่ก็น่าแปลกใจที่ผบ.ทบ.กลับบอกว่า หากมีหลักฐานก็ให้แจ้งเข้ามา เพราะกองทัพบกไม่ได้มีนโยบายในเรื่องนี้ เด็กก็คือเด็ก เราก็มีลูกมีหลาน ซึ่งเด็กก็มีความคิดของเขา มีโลกส่วนตัวของเขา แล้วที่ไปดำเนินการมันคืออะไร
เมื่อเป็นเช่นนั้นหากจะหาเรื่องจับผิดกันต่อกรณีนี้ ก็เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือศอ.บต. แต่คำถามก็คือปฏิบัติการณ์จิตวิทยาเช่นนี้ ควรจะนำไปใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และบางอำเภอของจังหวัดสงขลาหรือไม่ ทำไมกินพื้นที่มาถึงนครศรีธรรมราช นี่หรือเปล่าที่เขาบอกว่า งบประมาณที่ทุ่มลงไปเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงนั้น บางทีก็ถูกใช้ไปในเรื่องที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์หรือกลุ่มเป้าหมาย
อีกเรื่องที่แสดงออกถึงความใฝ่รู้และนำมาซึ่งการตื่นรู้ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาก็คือ กิจกรรมรำลึก 6 ตุลา 19 ที่ปรากฏว่ากลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ 2 ปีติดต่อ เช่นเดียวกับเทรนด์ทวิตเตอร์และกูเกิลที่พบว่าเป็นกระแสฮิตติดลมบน นั่นหมายความ เด็กเหล่านี้ไม่ได้ให้ใครมาชี้นำในทุกเรื่อง หากแต่ทุกเรื่องที่จะเชื่อหรือคล้อยตามต้องผ่านการศึกษา ค้นคว้าซึ่งเวลานี้เข้าถึงได้ง่าย ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใหญ่บางคนบางกลุ่มพยายามกล่าวหาเด็กว่าเคลื่อนไหวอย่างไม่บริสุทธิ์นั้น ควรจะเลิกกันได้แล้ว ถ้ากลัวว่าจะถูกเด็กถอนหงอกหรือบางรายอาจจะเสียคนตอนแก่