สู่รัฐที่ปกครองไม่ได้
อ.เกษียร เตชะพีระ สรุปสถานการณ์ของรัฐขณะนี้ว่า การปกครองด้วยความเกลียดและความกลัว จะนำไปสู่สภาวะปกครองไม่ได้
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
อ.เกษียร เตชะพีระ สรุปสถานการณ์ของรัฐขณะนี้ว่า การปกครองด้วยความเกลียดและความกลัว จะนำไปสู่สภาวะปกครองไม่ได้
“การปกครองที่ตั้งอยู่บนอำนาจบังคับ (coercion) แต่ขาดพร่องอำนาจนำ (hegemony) ที่อาศัยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน (popular consent) ก็เป็นเช่นนี้แหละ นับวันจะขยับเลื่อนไหลไปสู่สภาวะปกครองไม่ได้ (ungovernability) มากขึ้นทุกที”
ดูภาพประยุทธ์ถูกคนโคราชชูสามนิ้วแล้วเดือด ก็เห็นชัดเจน “ลูกหลานอยู่ไม่ได้วันหน้า ก็โทษพ่อมัน” อ้าว ก็ลูกหลานไม่ใช่หรือที่ออกมาม็อบล้นหลาม
รัฐบาลใช้อำนาจใช้กำลัง ตัดสินใจผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่ตะลุมบอนจับไผ่ ดาวดิน กับเพื่อน 21 คนวันที่ 13 “เรียกแขก” ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงซึ่งนักกฎหมาย 452 คนเข้าชื่อค้าน ชี้ว่าเป็น “รัฐประหารจำแลง” ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่เข้าเงื่อนไขกระทบกระเทือนความมั่นคงของรัฐ
คืนวันที่ 16 ก็ยังใช้ตำรวจและปืนใหญ่น้ำสลายการชุมนุม ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะอย่างมากม็อบก็เลิกสี่ทุ่ม ถูกสังคมรุมประณาม และม็อบก็ยิ่งบานปลายมีคนเข้าร่วมทั้งประเทศเป็นล้าน โดยไม่ต้องมีแกนนำที่ถูกกวาดจับไปแล้ว
นี่ไม่ได้นับเกินเลย เพราะการที่ม็อบกระจายไปแต่ละที่ ไม่ใช่กระจายคน แต่ไปตั้งม็อบจุดต่าง ๆ ให้คนใกล้บ้านออกมาร่วม ลาดพร้าว วงเวียนใหญ่ อุดมสุข เกษตร โดยคนไม่อยู่แถวนั้นยังตั้งม็อบกันเอง เช่นที่พระราม 3 บางขุนเทียน เมื่อคืนวันจันทร์
ขณะที่ตำรวจเองหลังโดนกระหน่ำ ก็ไม่กล้าใช้กำลังอีก ทำได้แค่ไล่จับแกนนำที่เหลือประปราย กับจับคนงานเครื่องเสียง สกัดรถเครื่องเสียง ล่าสุดก็บุกโรงงานหมวกกันน็อก ยิ่งโดนด่าหนักเข้าไปอีก
สถานการณ์ขณะนี้จึงกล่าวได้ว่า ม็อบไม่กลัวอำนาจรัฐแล้ว เพราะรัฐก็ไม่สามารถยกระดับใช้กองทัพใช้กระสุนจริงมาปราบม็อบคนรุ่นใหม่ ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย มาม็อบอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อยู่ในความสงบ เป็นระเบียบ มีอะไรก็ตั้งแถวส่งข่าวบอกต่อกัน แหวกทางให้รถพยาบาล เก็บขยะก่อนกลับบ้าน ฯลฯ แม้เนื้อหานั้นร้อนแรงติดเพดาน
รัฐบาลปราบไม่ได้ ห้ามไม่อยู่ ม็อบทุกเย็นกลายเป็นสันทนาการ ความตื่นเต้น หลังเลิกเรียนหลังเลิกงาน รอฟังนัดหมาย ใครอยากไล่ประยุทธ์ก็เข้ามามีส่วนร่วม รัฐบาลจะทำอย่างไร
เรียกร้องให้ออก ประยุทธ์ไม่ออก ย้อนถามผิดตรงไหน พรรคร่วมรัฐบาลก็อยู่ในโอวาท ดาหน้ายืนยันไม่ถอนตัว จะยังแก้รัฐธรรมนูญตามร่างตัวเอง ซึ่งถ้าผ่านเสียตั้งแต่แรกสถานการณ์อาจไม่บานปลายขนาดนี้ สุดท้ายก็จะเปิดสภาวิสามัญ แต่เปิดให้อภิปรายโดยไม่ลงมติ ให้ 250 ส.ว.มาพ่นน้ำลายโต้กับ ส.ส. เผลอ ๆ ก็จะด่าม็อบ ยั่วยุขึ้นไปอีก
เรียกร้องให้ปล่อยแกนนำ ศาลอุทธรณ์ให้ประกัน เพนกวิน รุ้ง ดูเหมือนจะช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลาย ตำรวจก็แห่ถือหมายมาอายัดตัว ซ้ำร้าย ยังร้องศาล “ปิดแพลตฟอร์ม” สื่อ โดยอ้างผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งก็คือปิดช่องทางเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก ยูทูบ เว็บไซต์ แต่อ้างว่าไม่ได้ปิดสื่อ
ไม่รู้ทำเพื่อ? เพราะรองปลัดดีอีบอกว่ามีสิทธิไปเปิด URL ใหม่ เช่นเปิดเพจ Voice TV V2 ถ้าตามไปปิดอีกก็ V3 V4 แต่ก็ทำให้คนโกรธ ทำให้วงการสื่อ นักวิชาการสื่อ รุมประณามอีก
ปิดไปก็เท่านั้น โลกยุคนี้มีกล้องเป็นล้าน ๆ ปิดกั้นข่าวสารการชุมนุมไม่ได้
สุดท้าย ดูเหมือนรัฐบาลจะหันไปใช้วิธีปลุกพลังเสื้อเหลือง แล้วประยุทธ์หลบไปอยู่ข้างหลังป้ายผ้า “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี” ปลุกคนสองขั้วประจันหน้ากันเพื่อประยุทธ์ไม่ต้องลาออก
นี่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก