“ทริสฯ” เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ STA เป็น “A-” สะท้อนสถานะการเงินแข็งแกร่ง

"ทริสฯ" เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ STA เป็น "A-" สะท้อนสถานะการเงินแข็งแกร่ง


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STAป็นระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ”

ทั้งนี้ การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 รวมถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจยางธรรมชาติ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันจากการเป็นผู้ประกอบการยางธรรมชาติตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ขั้นต้นของปลายน้ำ (Vertical Integration) และประวัติผลงานที่ดีของคณะผู้บริหาร ทว่า ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะความเป็นวงจรและผันผวนของราคายางธรรมชาติ รวมทั้งความท้าทายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอและไม่แน่นอนเป็นอย่างมากในขณะนี้

ทั้งนี้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากหลังจากบริษัทศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทประสบความสำเร็จในการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกใน ต.ล.ท. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563และได้รับรายได้สุทธิจำนวน 1.46 หมื่นล้านบาท บริษัทตั้งใจที่จะนำรายได้จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาทไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตถุงมือยางและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในระหว่างปี 2563-2569 ส่วนรายได้จำนวน 2.3 พันล้านบาทนั้นบริษัทจะนำไปชำระหนี้เงินกู้ และส่วนที่เหลือจำนวน 1.2 พันล้านบาทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา

ด้านอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยมาอยู่ที่ระดับ 11.3% ณ เดือนมิถุนายน 2563 จาก 51.7% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 20%-30% ในช่วงปี 2563-2565

นอกจากนี้ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2563 จะเติบโต 29% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 5% ในปี 2564 และ1% ในปี 2565 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 22% ในปี 2563 และจะปรับตัวลดลงเป็น 10%-12% ต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ดังนั้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจึงคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 19% ในปี 2563 และจะลดลงเป็น 8%-9% ต่อปีในช่วงปี 2564-2565

Back to top button