TACC วิ่งยาว 6 วันพุ่ง 11% โบรกฯชี้กำไรไตรมาส 3 นิวไฮ ชูเป้า 8.30 บ.
TACC วิ่งยาว 6 วันพุ่ง 11% โบรกฯชี้กำไรไตรมาส 3 นิวไฮ ชูเป้า 8.30 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ณ เวลา 10.44 น. อยู่ที่ระดับ 6.70 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 3.08% สูงสุดที่ระดับ 6.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.55 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20.24 ล้านบาท
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขณะนี้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TACC ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท ประเมินกำไรสุทธิของ TACC ในไตรมาส 3/63 ที่ 53 ล้านบาท เติบโต 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 12% จากไตรมาส 2/63 หลังแนวโน้มการบริโภคที่กลับมาฟื้นตัวจากยอดขายเครื่องดื่มภายในร้าน 7-Eleven กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยังได้มี Project Upsize Strategy (แก้วใหญ่ 22 ออนซ์) ของเครื่องดื่ม All Cafe ซึ่งในเดือน ก.ย.63 มีสาขาร่วมจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 290% จากในช่วงทดลองตลาดในไตรมาส 2/63 ที่ประมาณ 2,000 สาขา
นอกจากนี้ ยังคาดว่าร้าน 7-Eleven จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/63 อีก 200 สาขา ก็ส่งผลให้รายได้ของ TACC จะเติบโตตามการขยายตัวของสาขา 7-Eleven ด้วย
“TACC มีจุดเด่นอยู่ที่การร่วมทำธุรกิจกับร้าน 7-Eleven ที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และยังได้มีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ซึ่งจะเห็นได้ว่าในข่วง 1-2 ไตรมาส ที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดีแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราจึงยังชอบอยู่” นายมงคล กล่าว
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการของ TACC ในไตรมาส 2/63 น่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และคาดกำไรในช่วงไตรมาส 3/63 จะทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาสในรอบปีนี้ และเป็นระดับเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการคลายล็อกดาวน์ทำให้กำลังซื้อกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับมีการปรับ Product Mix และการขายท็อปปิ้ง อโลเวร่า เป็นเมนูเสริมบนเครื่องดื่ม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากเดิมที่ 30-31%
นอกจากนี้ TACC ได้มีการปรับเพิ่มขนาดไซส์แก้วสำหรับเครื่องดื่มในมุม All Cafe เป็น 22 ออนซ์ จากเดิมที่มีเพียง 16 ออนซ์ โดยได้ลองทดสอบตลาดสำหรับการปรับไซส์แก้วไปแล้วราว 2,000 สาขาในไตรมาส 2/63 ซึ่งได้กระแสตอบรับค่อนข้างดี และตั้งแต่เดือน ก.ย.ปรับเพิ่มการขายเป็น 7,800 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับภาพรวมกำไรสุทธิในปี 63 คาดว่าจะเติบโตได้ 19% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 34.5% สูงกว่าปีก่อนที่ 30.7% จากการปรับ Product Mix และการขายสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้รับงาน OEM ในการขายผงชงเครื่องดื่มให้กับ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ซึ่งเป็น Upside จากประมาณการ แม้ว่ารายได้อาจจะปรับตัวลดลง 10% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้มีการปิดเมืองในช่วงครึ่งปีแรก แต่อย่างไรก็ตามเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง