อีกาสามตัว และแมวตายเด้งที่นิวยอร์ก
สัญญาณร้ายจากนิวยอร์ก บอกทิศทางขาลงชัดเจน จนแทบจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
สัญญาณร้ายจากนิวยอร์ก บอกทิศทางขาลงชัดเจน จนแทบจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว
เริ่มต้นจาก ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า ตามมาด้วยดัชนีดาวโจนส์จริง และราคาน้ำมัน ราคาทองคำ กอดคอกันร่วงนอกเหนือจากบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ในตลาดตราสารหนี้นิวยอร์กที่ลงต่ำสุดใต้ 0.7%
ทั้งหมดที่ว่ามา ออกสัญญาณแท่งเทียนที่ระบุถึง “อีกาสามตัว” ซึ่งมีโอกาสจะตามมาด้วยการรีบาวด์เชิงเทคนิคที่เรียกว่า “แมวตายเด้ง” หรือ dead-cat bounce บ้าง ก็คงยากจะบอกได้ว่าตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งในระยะอันใกล้
การร่วงของดัชนีดาวโจนส์ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งใหญ่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเกิดขึ้น มีความหมายสำคัญว่าแรงกดดันจากความกังวลที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ประเทศต่าง ๆ ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ข้อมูลล่าสุดจาก Worldometer ระบุว่า ขณะนี้สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 9,039,170 ราย และมีผู้เสียชีวิต 232,101 ราย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในโลกทั้งในแง่ของยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
ไม่เพียงสหรัฐฯ ที่น่ากังวลเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว แต่การที่ยอดผู้ป่วยในเยอรมนีและฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นรุนแรงระลอกใหม่ จนทำให้ทางด้านรัฐบาลเยอรมนีและฝรั่งเศสประกาศยกระดับการคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังพบว่าอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วยุโรปพุ่งขึ้นเกือบ 40% ภายในเวลา 1 สัปดาห์ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในยุโรปมีมากกว่า 1.3 ล้านรายในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของตัวเลข 2.9 ล้านรายทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตกว่า 11,700 ราย ซึ่งพุ่งขึ้น 37% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้
เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ปธน.ฝรั่งเศสได้สั่งให้ล็อกดาวน์อีกครั้งทั่วประเทศ เหมือนกับที่เคยใช้เมื่อกลางเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในการแพร่ระบาดรอบแรกนั้น มีจำนวนมากเกินกว่าที่โรงพยาบาลต่าง ๆ จะรองรับได้
การล็อกดาวน์รอบใหม่นี้ ประชาชนจะออกจากบ้านได้ก็ต่อเมื่อต้องเดินทางไปทำงาน, ไปพบแพทย์ตามนัด, เพื่อให้ความช่วยเหลือ หรือเพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็น
มาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อมหาวิทยาลัย ห้องสมุด บาร์ คาเฟ่ ร้านอาหาร ยิม และสถานที่อื่น ๆ โดยห้ามไม่ให้มีการชุมนุม ระงับการจัดพิธีกรรมทางวัฒนธรรม และการประชุม
มาตรการดังกล่าวจะเริ่มใช้ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันศุกร์ตามเวลาฝรั่งเศส ซึ่งจะมีผลทั่วประเทศจนถึงอย่างน้อยช่วงต้นเดือนธ.ค. โดยรัฐบาลจะประชุมในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อหารือว่าควรมีการปรับเปลี่ยนมาตรการอีกหรือไม่
ไม่น่าแปลกใจที่ หุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มโรงแรม และกลุ่มเรือสำราญ ในวอลล์สตรีท ต่างพากันร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบใหม่
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 4.57% หลังจากบริษัทประสบภาวะขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การผลิตเครื่องบินชะลอตัวลง รวมทั้งการที่เครื่องบินรุ่น 737 MAX ยังคงถูกสั่งห้ามบิน หลังจากที่เครื่องบิน 2 ลำของรุ่นดังกล่าวได้ประสบอุบัติเหตุในปี 2561 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 346 คน
ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นปัจจัยล่าสุดที่ส่งผลกระทบที่รุนแรง หลังจากที่นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลว่า หากนายโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดภาวะ “คลื่นสีน้ำเงิน” หรือ “Blue Wave” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่พรรคเดโมแครตครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ขณะที่นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งกังวลว่า หากปธน.ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้ง ก็อาจทำให้ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป
สำหรับตลาดหุ้นไทย วานนี้ถือได้ว่าร่วงน้อยกว่าคาดเพราะเหตุที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาช่วยประคองเอาไว้ชั่วคราว
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าในไตรมาส 3/2563 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 3.14% เทียบกับไตรมาส 2 ที่ 3.09% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้มีนัยสำคัญ
ตัวเลขหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้สูญของสถาบันธนาคารที่เพิ่มน้อยมาก ยังได้ข่าวดีเพิ่มเติม เมื่อ ธปท. ได้ปรับมาตรการเป็นการให้ความช่วยเหลือเชิงรุกและตรงจุดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละรายไปแล้วและเร่งกำชับสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เต็มที่ โดยปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่า สำหรับลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถกลับมาจ่ายชำระหนี้ได้ตามปกติ โดยการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย รวมถึงใช้มาตรการอื่นตามความเหมาะสม เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การพักชำระค่างวด รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อย และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายราย
การเข้าอุ้มของ ธปท. แม้ขณะช่วยให้ดัชนี SET ร่วงไม่มากนัก แต่การที่ต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง เพราะกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนแย่ลงในไตรมาสที่สาม ก็ยังเป็นแรงกดดันให้ดัชนีร่วงลงไปใต้แนวรับจิตวิทยาสำคัญใต้ 1,200 จุดเรียบร้อยไปแล้ว
สัญญาณขาลงของดัชนี SET ระลอกใหม่ ทำให้มีคำถามใหม่เข้ามาว่า แนวรับสำคัญที่ควรเข้าซื้ออยู่ที่จุดไหน
เรื่องนี้ นักวิเคราะห์สำนักต่าง ๆ ในตลาดหุ้นไทย ยังหารายใดที่จะออกมาฟันธงชัดเจนไม่ได้ เนื่องจากมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ค่อนข้างมาก…เพียงพวกเขาคาดหวังว่า แนวรับของ SET ที่แข็งแกร่งสุดน่าจะอยู่ที่ 1,150 จุด อันเป็นแนวรับเดิมเมื่อต้นปีนี้
ปัญหาหลักของตลาดไทยคือยังไม่มีวี่แววเลยว่าต่างชาติจะหวนกลับมาซื้อหุ้นไทยระลอกใหม่ ตัวเลขขายสะสมสุทธิใกล้ทะลุ 3 แสนล้านบาททุกทีฟ้องเอาไว้ชัดเจน