ได้มาด้วยการต่อสู้
ฤดูกาลต่อสู้เดือนตุลาฯ ซึ่งเริ่มต้นและต่อเนื่องกันมาถึงวันนี้ ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลงไปประมาณ 60 จุด (นับแต่ 14 ต.ค.มา) ก็พออนุมานได้ว่า ปัจจัยทางการเมือง ไม่ได้ทำให้ตลาดแพนิกอะไรนัก
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
ฤดูกาลต่อสู้เดือนตุลาฯ ซึ่งเริ่มต้นและต่อเนื่องกันมาถึงวันนี้ ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลงไปประมาณ 60 จุด (นับแต่ 14 ต.ค.มา) ก็พออนุมานได้ว่า ปัจจัยทางการเมือง ไม่ได้ทำให้ตลาดแพนิกอะไรนัก
ม็อบปลดแอกของนักเรียนนักศึกษาคราวนี้ เป็นม็อบที่แตกต่างกว่าม็อบครั้งใดในอดีต ไม่ว่าจะเป็นม็อบ 14 ตุลาฯ ม็อบ 6 ตุลาฯ ม็อบพฤษภาทมิฬ ม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อแดง หรือม็อบกปปส.
เป็นม็อบที่ไม่มีเซเลบเป็นผู้นำ ทุกคนเป็นแกนนำได้หมด ต่างก็แสดงทัศนะด้วยคำพูดเหมือนกันหมด ด้วยเหตุนี้ ถูกจับไปแล้วกว่า 70-80 คน ก็ยังมีผู้นำการชุมนุมขึ้นมาทดแทนโดยไม่ขาดสาย เป็นม็อบที่ไม่ยึดติดกับพื้นที่ และติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็วมาก โดยไม่ต้องอาศัยเวทีใหญ่
ม็อบคณะราษฎร เรียกร้องกดดันรัฐบาลอย่างหนักนอกสภา ส่วนในสภา รัฐบาลก็เปิดสภาวิสามัญให้ฝ่ายค้านถล่ม 2 วัน 2 คืน ผลออกมา …นายกฯ ตู่ไม่ยอมออกหรอก ใครจะทำไม!
แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนจากฝ่ายรัฐบาลคราวนี้ ก็คือ สัญญาว่าจะยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญปีศาจฉบับนี้ แก้ไขได้ยากมากระดับ “โค-ตะ-ระ” เลยนะครับ เพราะล็อกการแก้ไขเอาไว้หลายชั้นมาก
ไม่ใช่จะต้องใช้เสียงข้างมากธรรมดา แต่จะต้องมีเสียงเห็นชอบจากวุฒิสมาชิก 1 ใน 3 (จาก 250 คน) ซึ่งเป็นกล่องดวงใจของรัฐบาล และจะต้องเป็นฝ่ายสูญเสียอำนาจอย่างหนักเสียด้วย
ในสภาพบ้านเมืองปกติ การบริหารงานของรัฐบาลเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน โอกาสจะแก้รัฐธรรมนูญแทบเป็นศูนย์เรื่องจะหวังความเมตตาให้ผู้นำมองเห็นสัจธรรมเอง ก็อย่าได้หวัง
แต่นี่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยอม ถึงขั้นลั่นวาจา จะให้ลงมติ 3 วาระรวดในเดือนธันวาคม จากนั้นก็นำไปสู่กระบวนการลงประชามติ และการจัดตั้งสสร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยไม่ชักช้า
ไม่แน่นะครับ ประชาชนคนไทย อาจจะหลุดพ้นไปจากรัฐธรรมนูญปีศาจ อันอัปลักษณ์น่าเกลียดน่าชังที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งปีหรือปีครึ่งนับจากนี้
สำหรับข้อเรียกร้องจากเยาวชนปลดแอกให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของ “กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของพล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง
ถ้าพล.อ.ประยุทธ์มาแล้วไป ใช้เวลาไม่นานนัก เหมือนนายทหารผู้ทำรัฐประหารคนอื่น ๆ ก็คงไม่กระไรนัก
แต่นี่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลากว่า 6 ปีเป็นนายกฯ มาทั้งแบบยึดอำนาจและแบบเลือกตั้ง ให้ “เนติบริกร” ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาถึง 2 ชุด ถึงพอใจว่าเป็น “รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ” ได้
มีกลไกที่จะ “สืบทอดอำนาจ” ครบเครื่องทั้งตั้งส.ว. 250 คนมาตั้งนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นระบบ “ปันส่วนผสม” ที่สกปรกที่สุดทั้ง “บัตรเขย่ง” และการปัดเศษพรรคจิ๋ว และการแต่งตั้งองค์กรอิสระที่ใช้ความอยุติธรรมเป็นกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้เลือกเอง กำหนดเองทั้งสิ้น
ประกอบกับบุคลิกภาพท่าทีพล.อ.ประยุทธ์ ที่ชอบใช้วาจาสามหาว ชอบพูดมากเกินกว่าความรู้ และออกอากัปกริยาปึงปังโผงผางแบบ “ทหารสายเหยี่ยว”
พล.อ.ประยุทธ์ ดูไม่น่ารักเลย ในสายตาสุภาพชน
แต่เดี๋ยวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่คนเดิมแล้ว จากไม่เคยคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปีศาจ ตามเจตนารมณ์ตนเอง ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็น “ผู้ให้” และ “ผู้นำ” ในการแก้ไขเสียเอง
จากผู้นำวาจาสามหาว ไม่เหมือนใคร ก็กลายมาเป็นผู้นำวาจาสุภาพชน พูดหวานขานเพราะก็เป็น แม้บางสุ้มเสียงจะมีประชดเสียดสีอยู่บ้างก็ตาม
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี การเปลี่ยนแปลงที่ได้มาจากการต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี