พาราสาวะถีอรชุน
ร่างรัฐธรรมนูญดูจากท่าทีของผู้มีอำนาจแล้ว วงพนันขันต่อบอกมองกันว่า อย่าแค่ผ่านความเห็นชอบจากสปช.เลย แม้กระทั่งการทำประชามติก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะขนาดมีการขู่กันว่า“จะจัดการภายหลัง” เท่ากับเป็นการข่มขู่ คุกคามไว้ล่วงหน้า ใครที่กล้าออกมาเคลื่อนไหวขู่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญจะไม่รับรองความปลอดภัย
ร่างรัฐธรรมนูญดูจากท่าทีของผู้มีอำนาจแล้ว วงพนันขันต่อบอกมองกันว่า อย่าแค่ผ่านความเห็นชอบจากสปช.เลย แม้กระทั่งการทำประชามติก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะขนาดมีการขู่กันว่า“จะจัดการภายหลัง” เท่ากับเป็นการข่มขู่ คุกคามไว้ล่วงหน้า ใครที่กล้าออกมาเคลื่อนไหวขู่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญจะไม่รับรองความปลอดภัย
คงไม่ได้สื่อความหมายแค่ฝ่ายการเมืองที่มีคดีติดตัว แต่คนที่กลัวอำนาจตามกฎหมายพิเศษย่อมไม่กล้าแสดงออกหรือขยับตัวใดๆ ดังนั้น จะกลายเป็นบททดสอบว่าฝ่ายที่ออกมาประกาศจะเคลื่อนไหวให้ความรู้ประชาชนเพื่อนำไปสู่การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ จะกำหนดทิศทางเดินกันอย่างไร กล้าท้าทายองค์รัฏฐาธิปัตย์หรือไม่
แต่ได้ยินเสียงแว่วมาจาก จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ความจริงแล้วรัฐบาลรวมไปถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะชี้แนะชี้นำหรือบอกว่าใครควรเคลื่อนไหวหรือไม่ควร ฝ่ายรัฐไม่มีอำนาจไปแทรกแซง เพราะทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะของบประมาณ 3 พันล้านบาทไปดำเนินการ รัฐบาลมีหน้าที่แค่อนุมัติเท่านั้น
หากบริบทเดินไปด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ ตุ๊ดตู่เลยฝากไปถึงบิ๊กตู่ว่า อย่าทำประชามติเสียเลยดีกว่า มากไปกว่านั้นหากอยากให้ผ่านประชามติแบบฉลุยก็ใช้อำนาจมาตรา 44 เสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย สั่งให้ประชาชนทุกคนไปรายงานตัวหน้าคูหา ถ้าทำเช่นนั้นเชื่อแน่ว่าผลการทำประชามติจะผ่านล้านเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนจะไปถึงจุดนั้น ปรากฏว่าหัวหน้าคสช.ได้ขอใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งไม่ให้ใครในประเทศนี้ ห้ามเรียกคนยากคนจนว่าเป็น คนรากหญ้า ให้เรียกว่าคนที่มีรายได้น้อย มีการศึกษาน้อย ซึ่งเราต้องยกระดับพวกเขามาให้เท่าเทียม อย่าไปเรียกเขาว่าเป็นรากหญ้า วันนี้บ้านเมืองเราไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นแล้วไม่มีอำมาตย์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
ง่ายดายดีเหลือเกินสำหรับผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ คงจะเป็นคำที่แสลงหูแสลงตาแสลงใจเหลือเกิน เพราะติดพันเรียกกันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร แต่ดูจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พร้อมทีมงานชุดใหม่ ทุกโครงการล้วนแล้วแต่เป็นการต่อยอดนโยบายประชานิยมของระบอบทักษิณทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้านเพื่อต่อยอดการสร้างงานและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงเดินหน้าโครงการโอท็อป บอกไว้ตั้งแต่ต้น ไม่จำเป็นต้องดัดจริตหรือไปเอาใจทำตามม็อบที่โบกมือดักกวักมือเรียกให้ทหารยึดอำนาจ เพราะคนเหล่านั้นโดยเฉพาะที่เป็นนักการเมือง เมื่อยามที่มีอำนาจก็หนีไม่พ้นใช้ประชานิยมมัดใจประชาชน เพียงแค่เปลี่ยนวิธีเรียกกลบเกลื่อนเท่านั้นเอง
ห่างหายไปนานนับตั้งแต่เสียรังวัดจากการไม่ยอมวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในค่ายทหารของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันวาน ธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการเสื้อกั๊ก ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องกระบวนการประชาธิปไตย ค่อยสมกับความที่เป็นอดีตคนเดือนตุลาฯหน่อย ชาวบ้านเป็นจุดสำคัญมาก ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ ต้องเข้าถึงชาวบ้านจริงๆ หากไม่มีประชาธิปไตยชุมชนโอกาสเกิดประชาธิปไตยที่มั่นคง คงลำบาก
ปัญหาที่ง่ายถึงยากมากจะไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าจะพันกันเป็นดินพอกหางหมู และแก้ด้วยวิธีที่สุดขั้วมาก ซึ่งทำให้ไม่เกิดการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ก่อให้เกิดความรุนแรง และจบด้วยการรัฐประหาร ตัวอย่างเช่น ปัญหาวินมอเตอร์ไซค์บริเวณถนนสีลม ควรแก้ด้วยชุมชนตรงนั้นเอง แต่ความจริงคือ ปัญหาดังกล่าวแก้ไม่ได้หากไม่มีรัฐประหาร โดยให้ทหารที่คุมกองกำลังสำคัญที่สุดของประเทศไทยเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว
เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่มีสมดุลในการแก้ปัญหาแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการมองปัญหา การแก้ปัญหา การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา วิธีการแก้ปัญหาที่ใช้ในตอนนี้ยังคงแก้โดยวิธีแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คนที่สมาทานกับความคิดแบบนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะมีการควบคุมสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อย
จากนั้นก็ให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่งไปร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่แนวคิดดังกล่าวเคยมีการพิสูจน์มาแล้วทั้งในปี 40 และปี 49 โดยตนมองเห็นทิศทางต้องลงไปสู่ตัวคนรากหญ้า ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ตนเต็มใจที่จะคุยกับทุกคนว่าปัญหาจะแก้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง แดง นักการเมือง ทหาร และตนก็เชื่อว่านักวิชาการส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น
คนที่เลือกสีเลือกข้างตนคิดว่ามีน้อย แต่คนที่มองปัญหาแบบเปิดและหาวิธีการแก้ว่าจะแก้อย่างไรดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเกี่ยวกับโอกาส วาสนา บารมี ในการขอความช่วยเหลือ หากคนที่รู้จักกับตนเองมีอำนาจก็สามารถก่อให้เกิดได้ ความสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดจากการเขียนกฎหมายแน่นอน หรือเกิดจากการออกคำสั่งก็ไม่ได้
เพราะความสมานฉันท์ต้องเกิดจากการยินยอมพร้อมใจ เต็มใจ ซึ่งเราเต็มใจกับเรื่องความจริง ความถูกต้องที่สุด ผู้มีอำนาจมีหน้าที่ในการหาความจริง ความถูกต้อง ทั้งทางการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมีการชี้แจงว่าปัญหาเกิดจากอะไร เผยแพร่ความคิดให้เยอะที่สุด เมื่อคนรับรู้ความจริงแล้วก็สามารถวิเคราะห์ต่อไปได้
แต่สิ่งที่จะแย้งความเห็นของธีรยุทธก็คือ ความจริงแล้วในสังคมไทยโดยเฉพาะผู้มีอำนาจในบ้านเมือง กล้าที่จะยอมรับความจริงหรือพร้อมที่จะให้ประชาชนคนรากหญ้าสะท้อนภาพแห่งความเป็นจริงเหล่านั้นหรือไม่ คำตอบก็น่าจะอยู่ที่การประกาศใช้มาตรา 44 ของบิ๊กตู่ห้ามเรียกรากหญ้านั่นแหละ และน่าจะเป็นการชี้ทิศนำทางของประเทศด้วยว่าจะเดินหน้าไปได้มากน้อยขนาดไหน