BEAUTY หุ้นเสี่ยงสูง
ราคาหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดของ BEAUTY ไม่สวยเหมือนชื่ออีกแล้ว หลังจากที่กำไรสะสมเกลี้ยงถึงขั้นติดลบ หลังสิ้นไตรมาสสองปีนี้
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
ราคาหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดของ BEAUTY ไม่สวยเหมือนชื่ออีกแล้ว หลังจากที่กำไรสะสมเกลี้ยงถึงขั้นติดลบ หลังสิ้นไตรมาสสองปีนี้
ตอนนี้ ผลประกอบการไตรมาสสามของปีที่รอประกาศออกมาอย่างช้าสุดภายในสัปดาห์หน้า จะชี้ชัดว่า ราคาหุ้นที่เหนือบาทเศษ ๆ ที่ทำให้ค่า P/E มากกว่า 200 เท่า จะถึงขั้นถูกกำหนดให้ซื้อขายด้วยเงินสดเท่านั้นอีกนานเดือนหรือไม่ จะได้รู้กัน
ข้อเท็จจริงที่นักลงทุนทราบกันดีคือ สิ้นไตรมาสสอง กำไรสะสมของ BEAUTY ติดลบไปแล้ว 91 ล้านบาท มีมาร์เก็ตแคปเหลือแค่ 3.65 พันล้านบาท (เทียบกับเมื่อ 4 ปีก่อนที่เคยสูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาทเศษ) และมีบุ๊กแวลูอยู่ที่ 0.28 บาท
หากการขาดทุนยังดำเนินต่อไปอีก หุ้นที่ซื้อขายในตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะยังต้องถูกขึ้นเครื่องหมาย C (ซื้อขายด้วยเงินสดเท่านั้น) ยาวนาน แม้ว่าส่วนผู้ถือหุ้นจะยังมีมากกว่า 848 ล้านบาทก็ตามจนกว่ากำไรสะสมจะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
ชะตากรรมของหุ้น BEAUTY ที่เคยเป็นหุ้นชั้นดี (แม้จะจ่ายปันผลต่ำมาก) มานับแต่เข้าตลาดหุ้นมาหลายปีก่อนจนกระทั่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดตระกูลไกรภูเบศ นำโดย นพ.สุวิน ไกรภูเบศ กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน จากการทยอยขายหุ้นหลายครั้งในราคาที่ค่า P/E สูงกว่า 45 เท่า จนกระทั่งสัดส่วนหุ้นที่เคยถือมากกว่า 70% ตอนเข้ามาในตลาดใหม่ ๆ ล่าสุดเหลือถือหุ้นต่ำกว่า 25% ไปแล้ว
ต้นปีนี้ ก่อนที่จะมีกระแสการแพร่ระบาดของโควิด-19 ราคาหุ้น BEAUTY ยังมีการซื้อขายร้อนแรงอีกครั้ง เพราะราคาหุ้นต่ำมากจนค่า P/E ลดลงเหลือเพียงแค่ 11 เท่า (ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ผลพวงของโควิด-19 ที่โหมกระหน่ำจนยอดขายสินค้าลดลงฮวบฮาบ ทำให้อัตรากำไรสุทธิที่เคยติดอันดับดีระดับ TOP10 ของตลาดหุ้นไทยมีการติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดกัน มูลค่าหุ้นที่ซื้อขายจึงลดลง กลายเป็นหุ้น “หมาเมิน” โดยปริยาย
วิกฤตศรัทธาที่นักลงทุนที่เคยถือหรือติดหุ้นการตลาดความงามมาก่อน กลายมาเป็นวิกฤตจากข้อเท็จจริง เกิดขึ้นจากยอดขายที่ลดลงเพราะโควิด-19 จนตลาดในประเทศมีการแข่งขันสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มการทำธุรกิจในตลาดต่างประเทศยังย่ำแย่
ยามนี้ แม้นักลงทุนไม่น้อยจะพยายามลืมวิกฤตศรัทธาจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ทิ้งหุ้นมากมาย แต่ข้อเท็จจริงที่สะท้อนว่าผู้บริหาร ซึ่งเคยสามารถพลิกแพลงกลยุทธ์เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้า รุกการตลาด ดันยอดขายโตเพื่อกลับมาสะท้อนในราคาหุ้นรอบใหม่ ได้ถูกพิสูจน์ชัดว่า ยังต่ำกว่าความคาดหวังมาก
ที่สำคัญนักวิเคราะห์ที่เคยคาดเดาว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่เห็นการ Turnaround ได้อย่างชัดเจน เพราะผู้บริหารได้เชื่อมั่นว่าบริษัทจะบรรลุเป้ารายได้เติบโตเกิน 10 % ได้ จากกลยุทธ์การขยายจุดจำหน่ายสินค้าในไทยและจีน ที่สำคัญบริษัทที่ทำสัญญาการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางออนไลน์หลัก ๆ ของจีนครบทั้งหมดในปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดหมายว่าจะผลิดอกออกผลว่าจะเป็นปีที่รับรู้รายได้ออนไลน์จากทุกช่องทางเต็มปี ยังไม่ผลิดอกออกผลตามคาด…ก็พากันเบือนหน้าหนีตาม ๆ กัน
ยอดขายที่ลดลงในครึ่งปีแรก ซึ่งบริษัทมีรายได้รวมเพียงแค่ 399.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มากถึง 1,080.34 ล้านบาท คิดเป็น 63.04% รุนแรงเกินกว่าต้นทุนที่ลดลงจากการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร ยังส่งผลให้มีขาดทุนสุทธิ 101.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผู้บริหารของ BEAUTY อย่างนายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ที่พยายามปลอบขวัญนักลงทุน เปิดเผยว่าแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังสถานการณ์ที่เปิดช่องให้สามารถเปิดสาขาร้านค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าได้ตามปกติ ประกอบกับการปรับกลยุทธ์ Business Re-engineering ปรับแนวทางบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจทั้งระบบ ควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหาร แล้วการที่บริษัทมีหนี้สินต่ำมาก อีกทั้งยังมีบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดมีสภาพคล่อง มั่นใจว่า ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ …จึง
เป็นการให้คำมั่นสัญญาที่ขัดแย้งข้อเท็จจริงอย่างมาก
ผู้ถือหุ้น BEAUTY ที่ยังหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์กับผลประกอบการ… ต้องเข้าใจว่า ปาฏิหาริย์ก็ยังเลื่อนลอยอย่างมาก และหากจะมีจริงก็มีคำถามว่าจะทันการณ์หรือไม่
ช่วงเวลาเช่นนี้การเข้าเก็งกำไรหุ้น BEAUTY เพราะเห็นราคาต่ำเกินห้ามใจแถว ๆ 1.25 บาท ถือเป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนและหัวใจเต้นพลิ้วอยู่เดิม
ยกเว้นคนที่ถือหลักเสี่ยงสูง กำไรสูง หรือ “อยากได้ลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ”