สศค.เผยเศรษฐกิจก.ค.ขยายตัวเปราะบาง-มองภาพรวมยังดีอยู่

สศค.เผยเศรษฐกิจก.ค.ขยายตัวเปราะบาง-มองภาพรวมยังดีอยู่


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน ก.ค.58 ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวเปราะบาง

โดยการใช้จ่ายรัฐบาลและการท่องเที่ยวยังเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ แต่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้การส่งออกและรายได้เกษตรกรลดลง อย่างไรก็ดี พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งจากอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง

สำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในภาพรวมในเดือน ก.ค.58 ที่กลับมาหดตัวอีกครั้งที่ร้อยละ -1.7 ต่อปี จากการหดตัวของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บบนฐานการนำเข้า ณ ราคาคงที่หดตัวที่ร้อยละ -11.1 ต่อปี ขณะที่ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.9 ต่อปี

นอกจากนี้ ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค แม้ยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี แต่หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนหน้าหน้าหลังหักผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -4.5 ต่อเดือน สำหรับการบริโภคสินค้าคงทนชะลอลงต่อเนื่องเช่นกัน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ กลับมาหดตัวที่ร้อยละ -23.2 ต่อปี โดยเป็นการหดตัวทั้งยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในเขตชนบท ตามรายได้เกษตรกรที่หดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ -14.6 ต่อปี

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมยังคงปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 62.6 จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่มีปัจจัยลบจากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว กอปรกับราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อความเสียหายแก่ผลผลิตสินค้าเกษตร ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์กลับมาหดตัวร้อยละ -2.0 ต่อปี แต่อย่างไรก็ดี ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวได้เร่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังหักผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 8.8 ต่อปี และ 4.6 ต่อเดือน เนื่องจากการคาดการณ์ของภาคเอกชนถึงการบังคับใช้ภาษีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมรดก

สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ พบว่ายังคงหดตัวร้อยละ -3.1 ต่อปี แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังหักผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.2 ต่อเดือน สำหรับปริมาณนำเข้าสินทุนกลับมาหดตัวที่ร้อยละ -22.1 ต่อปี และเมื่อหักสินค้าพิเศษเครื่องบินเรือรถไฟพบว่าหดตัวเช่นกันที่ร้อยละ -6.7 ต่อปี

สถานการณ์ด้านการคลังพบว่า การใช้จ่ายรัฐบาลเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือนกรกฎาคม 2558 ที่เบิกจ่ายได้จำนวน 221.9 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.8 ต่อปี โดยรายจ่ายงบประมาณประจำปีปัจจุบันสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 208.7 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.2 ต่อปี ซึ่งแบ่งออกเป็น รายจ่ายประจำ 186.1 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี และ รายจ่ายลงทุน 22.7 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 17.2 ต่อปี สำหรับการจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักการจัดสรรให้ อปท.) มีจำนวนทั้งสิ้น 141.8 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.5 ต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลขาดดุลงบประมาณในเดือน ก.ค.จำนวน -81.4 พันล้านบาท

ด้านอุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกยังคงหดตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ที่ร้อยละ -3.6 ต่อปี จากการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักที่ยังคงหดตัว โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังหักผลทางฤดูกาล พบว่า การส่งออกสามารถขยายตัวที่ร้อยละ 2.0 ต่อเดือน จากการส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบที่กลับมาฟื้นตัว และการส่งออกไปยังตลาด สหรัฐ ทวีปออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ กลับฟื้นตัวเป็นบวกอีกครั้ง เช่นเดียวกับกลุ่ม CLMV ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง

ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังคงได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวในภาคการท่องเที่ยว สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2558 มีจำนวน 2.64 ล้านคน ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 39.4 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากทุกกลุ่มภูมิภาค โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน และมาเลเซีย เป็นหลัก

ในขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ -9.9 ต่อปี ตามการหดตัวของผลผลิตในหมวดพืชผล เป็นสำคัญ ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(ข้อมูลเบื้องต้น) หดตัวร้อยละ -5.3 ต่อปี แต่ขยายตัวได้ร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังหักผลทางฤดูกาล โดยผลผลิตอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัวหลักๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุ โทรทัศน์ ขณะที่อุตสาหกรรมที่สามารถขยายตัวได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ ยานยนต์ และอาหาร เป็นต้น

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 83.0 โดยมีปัจจัยหลักจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งภาคการส่งออกที่ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง

ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.0 ของกำลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 3.85 แสนคน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป หดตัวร้อยละ -1.1 ต่อปี เป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับมีการปรับลดค่าไฟฟ้า

รวมถึงราคาเนื้อสัตว์ที่หดตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี เทียบเท่ากับเดือนก่อนหน้า สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่ 156.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นประมาณ 2.9 เท่า ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้

Back to top button