MEGA เด้ง 7% โบรกฯ แนะซื้อเป้าใหม่ 49 บ. รับ Q3 โตสนั่น ปรับประมาณกำไรปี 63-64 เพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ล่าสุด ณ เวลา 11.18 น. อยู่ที่ 34 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 7.09% สูงสุดที่ 34.50 บาท ต่ำสุดที่ 32.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 86.64 ล้านบาท

โดยบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” MEGA ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 49 บาท จากเดิม 44 บาท จากการปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้นเพื่อสะท้อน outlook ที่ดีกว่าคาด โดย MEGA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 342 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 13% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน) และกำไรปกติที่ 383 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 26%  เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน) สูงกว่าคาดจากรายได้ที่มากกว่าคาด ด้านกำไรขยายตัว

ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2563-2565 ขึ้น +9%, +12% และ +13% ตามลำดับ เพื่อสะท้อน outlook ที่ดีกว่าคาด โดยเราปรับรายได้ขึ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 1,370 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และกำไรปกติที่ 1,411 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบจากปีก่อน) บนสมมติฐาน 1) รายได้รวมขยายตัว 12% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากรายได้ MWC (เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบจากปีก่อน) จาก COVID-19 new normal ทำให้การบริโภควิตามินเพิ่มขึ้น, MC (เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบจากปีก่อน) จากการเพิ่มขึ้นของลูกค้ารายใหม่ และการสต๊อกสินค้ารองรับ COVID-19 ในช่วง ครึ่งปีแรกปี 2563, 2) GPM ลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนรายได้ MC เพิ่มขึ้น และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจในพม่าและเวียดนาม และ 3) SG&A to total sales ปรับตัวลดลง จากการปรับรูปแบบธุรกิจ

สำหรับปี 2564 ประเมินกำไรสุทธิที่ 1,552 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากปีก่อน) บนสมมติฐาน 1) รายได้ MWC ขยายตัว 7% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากรายได้ใน Southeast Asia และ Africa เติบโตต่อเนื่อง และรับรู้รายได้จาก Futamed เพิ่มขึ้นเป็น USD2.9mn (+15% YoY), 2) รายได้  MC ขยายตัวต่อเนื่อง 12% เมื่อเทียบจากปีก่อน จาก principal ที่เพิ่มขึ้น และ 3) gross profit margin ปรับตัวลงเล็กน้อย จากสัดส่วนรายได้ของ MC ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้น underperform SET -16% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน MEGA เทรดอยู่  PER ปี 2564 ที่ 17.8 เท่า จึงมองว่าราคาปัจจุบันน่าสนใจและยังไม่สะท้อนกำไรที่จะกลับมาเติบโตในปี 2563/2564 ที่เติบโต 20% และเติบโต 13%  เมื่อเทียบจากปีก่อน ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ถ้าค้นพบวัคซีน COVID-19 ก็ไม่ทำให้การบริโภควิตามินลดลง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว health conscious มากขึ้น