พาราสาวะถี
คำว่าม็อบแผ่วในความหมายของหน่วยงานที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีมันก็คือ การสอพลอและเอาใจผู้มีอำนาจทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ยิ้มที่มุมปากเท่านั้นเอง เพราะข้อเท็จจริงในเวลานี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าการนัดรวมพลใหญ่จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ในภาวะที่คณะผู้บริหารประเทศก็ไม่สามารถที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นได้แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ โครงการคนละครึ่งที่พยายามปั้นตัวเลขอันว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่าหมื่นสามพันล้านบาทก็เริ่มมีข้อกังขาจากประชาชน
อรชุน
คำว่าม็อบแผ่วในความหมายของหน่วยงานที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีมันก็คือ การสอพลอและเอาใจผู้มีอำนาจทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ยิ้มที่มุมปากเท่านั้นเอง เพราะข้อเท็จจริงในเวลานี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าการนัดรวมพลใหญ่จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ในภาวะที่คณะผู้บริหารประเทศก็ไม่สามารถที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นได้แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ โครงการคนละครึ่งที่พยายามปั้นตัวเลขอันว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่าหมื่นสามพันล้านบาทก็เริ่มมีข้อกังขาจากประชาชน
ของฟรีของแจกไม่มีใครไม่อยากได้ แต่คำถามก็คือเมื่อได้แล้วมันคุ้มค่ากับสิ่งที่ฝ่ายกุมอำนาจนำเม็ดเงินภาษีของประชาชนไปหว่านเพื่อหวังคะแนนนิยมหรือไม่ โครงการคนละครึ่งที่หวังจะสร้างภาพว่าไม่ได้เอื้อเจ้าสัวนายทุนกลุ่มที่สนับสนุนขบวนการเผด็จการสืบทอดอำนาจ กำลังเริ่มถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของบรรดาสารพัดร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่พบว่ามีการขึ้นราคาสินค้ากันอุตลุด ถือเป็นการฉวยโอกาสเอาเปรียบซ้ำเติมความเดือดร้อนของคนยากคนจนเข้าไปอีก
แม้ฝ่ายกุมอำนาจจะอ้างว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเพราะเป็นเรื่องความไม่สุจริตของพวกหน้าเลือด แต่หากยังไม่มีการจัดการใด ๆ ก็เท่ากับว่าฝ่ายรัฐกำลังดำเนินกิจกรรมที่ไร้มาตรการในการควบคุมความโปร่งใสและเป็นธรรมสำหรับประชาชน ปล่อยให้พวกขูดเลือดขูดเนื้อทำมาหากินกันได้อย่างสบายใจเฉิบ ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่นอน เท่ากับว่ารัฐบาลสักแต่ว่าแจกแต่ไม่ได้วางมาตรการที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างสูงสุด เข้าอีหรอบเดียวกับการแจกเงินก่อนหน้าที่โดนด่ายับ
อย่างไรก็ตาม สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมในนามคณะราษฎรนั้น มุมมองจาก “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ ถือว่าน่าสนใจในฐานะนักกิจกรรมทางการเมืองที่เผชิญชะตากรรมมาแล้วทุกรูปแบบ ช่วงที่ม็อบเกิดขึ้นใหม่ ๆ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพยายามใช้องคาพยพที่มีจัดการกับม็อบเพราะคิดว่าจะทำให้สยบได้เหมือนสมัยเผด็จการคสช. แต่ปรากฎว่าทุกครั้งที่จัดการผลของมันคือการเร่งปฏิกิริยาและขยายกระแสให้แรงขึ้น การควบคุมของรัฐกลายเป็นการเพิ่มกระแสให้ม็อบไปโดยปริยาย
เมื่อเห็นว่าการใช้กำลังไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันมาใช้วิธีการปลุกผู้คนให้ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการปกป้องสถาบัน แต่นั่นถือว่าเป็น “ยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด” เพราะการออกมาปกป้องสถาบันเพื่อสกัดข้อเรียกร้องของฝ่ายชุมนุมเรื่องการปฏิรูป มันมีข้อจำกัดว่าต้องขีดวงกันอยู่เท่านั้น หากขยับไปถึงขั้นกางปีกปกป้องรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ก็เท่ากับว่ามีการใช้สถาบันมาบังหน้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง อันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและเป็นการโหนเจ้า ทำให้แปดเปื้อนอย่างไม่สมควรให้อภัย
ขณะเดียวกัน การเล่นบทตีสองหน้า ไม่ลาออกพร้อมคำถามผิดอะไร ตีมึนไปวัน ๆ บนความเชื่อมั่นว่า ถ้ายื้อกันไปนาน ๆ สุดท้ายม็อบจะแผ่วและหมดแรงกันไปเอง ก็เป็นการคิดแบบพื้นฐานของการทำงานด้านการข่าวและความมั่นคงแบบเดิม ๆ จากม็อบมุ้งมิ้งสู่ม็อบตุ้งติ้ง ม็อบเดินแฟชั่นที่สีลม Street Art และมาถึงม็อบเฟสติวัลที่ผ่านไปในเสาร์ที่ผ่านมา สะท้อนภาพว่าม็อบกำลังเคลื่อนตัวด้วยการใช้ Pop Culture และทำให้ม็อบเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของผู้คนในช่วงเวลานี้ และกำลังจะกลายเป็นถนนคนเดินในที่สุด
คำถามสำคัญคือ ม็อบกลายเป็นถนนคนเดินแล้วยังไงต่อ คำตอบก็คือหากม็อบกลายเป็นถนนคนเดินหรือทำให้ถนนคนเดินกลายเป็นม็อบได้ ม็อบก็จะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่กลืนอยู่ในวิถีของสังคม และกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติการเมือง การเรียนรู้ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม คำว่า Mob Fest ที่ก่อรูปขึ้นก็จะขยายตัวไปในทุกจังหวัด กลุ่มศิลปิน นักออกแบบสินค้าการเมือง พวกเสื้อลายสวย ๆ การ Talk Show การเมืองวงเล็ก ๆ จะขยายวงไปทั่วประเทศ
เมื่อเป็นเช่นนั้นมันหมายความว่า ม็อบที่เป็นถนนคนเดิมนั้นจะเป็นสีสันและกลืนไปกับสังคม หล่อเลี้ยงความมุ่งหมายและเจตจำนงเสรีที่แผ่ขยายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้ว่ากุมอำนาจจะไม่ยอมสงบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการประกาศเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ในแต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน คนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะรวมตัวแสดงพลัง อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ขบวนการของการต่อสู้โดยเฉพาะฝ่ายประชาธิปไตยนั้น แม้คนหนุ่มสาวคณะนี้จะชูสโลแกน “ต้องจบในรุ่นเรา” แต่มันไม่ใช่ว่าจะต้องจบภายในระยะเวลาอันสั้น
ช้าหรือเร็วมันขึ้นอยู่กับปัจจัย ในส่วนของคณะเผด็จการสืบทอดอำนาจปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดว่าอยู่ต่อได้นานแค่ไหนคือผลงานและความเบื่อหน่ายของผู้คน เพราะข้ออ้างในการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ที่บอกว่าจะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ขอเวลาอีกไม่นานและเราจะทำตามสัญญานั้น เวลาที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่อ้าง ไม่มีการทำตามสัญญาใด ๆ สุดท้าย การปรองดองสมานฉันท์ นับวันก็ยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ
แต่ฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจน่าจะพอใจที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ เพราะยิ่งมีความขัดแย้งนั่นหมายถึงเหตุผลในการที่จะทำให้อยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ เมื่อฝ่ายเคลื่อนไหวเข้าใจธรรมชาติของการต่อสู้ ย่อมจะรู้และเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นวิวัฒนาการที่ล้วนใช้เวลา ผ่านขั้นตอนและเงื่อนไขในแต่ละช่วงของสังคม การสะสมกำลังและการรักษาเจตจำนงไว้ได้คือการปิดประตูแพ้ ส่วนรูปแบบและยุทธวิธีก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ ดังนั้นเมื่อเป้าหมายมั่นคง ก็ไม่มีอะไรจะมาลบล้างเจตจำนงที่ก่อรูปกันขึ้นมาอย่างแข็งแรงได้ ส่วนยุทธวิธีก็ยืดหยุ่นกันไปตามสถานการณ์
ขณะที่พวกไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอาแต่เชลียร์ สอพลอ ทั้งนักการเมืองที่ซุกใต้อุ้งตีนเผด็จการและพวกลากตั้ง ก็จะเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อหวังอยู่กับอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ให้ได้นานที่สุด ดังนั้น การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ ก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่า การอ้างความสมานฉันท์ การพล่ามบอกเรื่องรวมใจไทยสร้างชาตินั้น มันคือวาทกรรมลวงโลกหรือความตั้งใจจริง ซึ่งความไม่จริงใจที่ถูกทดสอบมาหลายครั้งหลายหนน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว